เมนูนำทาง
การลงคะแนนแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า การลงคะแนนการลงคะแนนระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าใช้ในการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศใน 43 ประเทศจากทั้งหมด 193 ประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยมีความเกี่ยวพันกับสหราชอาณาจักร สหรัฐ แคนาดา และอินเดีย[1]
ในแบบที่ใช้เลือกผู้สมัครคนเดียวนั้น ผู้ลงคะแนนสามารถลงคะแนนได้เพียงแค่ผู้สมัครเพียงรายเดียว และการตัดสินผู้ชนะนั้นใช้เกณฑ์จำนวนคะแนนเสียงที่มีมากที่สุด (คะแนนเสียงที่เหนือกว่า) จึงทำให้การลงคะแนนระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่านี้เป็นระบบที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้ลงคะแนนและกรรมการผู้นับคะแนน (อย่างไรก็ตามการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้นมักจะเป็นข้อโต้แย้งอยู่เสมอในระบบนี้)
ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติที่มีผู้แทนคนเดียวในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้ลงคะแนนที่อยู่ในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ จะสามารถลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เพียงรายเดียวจากจำนวนผู้สมัครทั้งหมดในเขตเลือกตั้งนั้น ในระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งจะถือเป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้งนั้นโดยปริยาย
ในการเลือกตั้งเพื่อหาผู้ชนะเพียงคนเดียวในระดับประเทศ เช่น ประธานาธิบดีในระบบประธานาธิบดี ใช้ระบบการลงคะแนนแบบในเดียวกันซึ่งผู้ชนะเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด
ในการลงคะแนนระบบสองรอบนั้น โดยปกติจะให้ผู้สมัครเพียงสองรายที่ได้รับคะแนนสูงสุดในรอบแรกเข้าไปสู่รอบที่สอง หรือเรียกอีกอย่างว่า "รอบตัดเชือก"
ในการลงคะแนนเพื่อหาผู้แทนที่มากกว่าหนึ่งคนต่อเขตเลือกตั้ง ผู้ชนะเหล่านั้นคือผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุด (จำนวนขึ้นอยู่กับการจัดที่นั่งในเขตเลือกตั้ง) โดยกฎที่ใช้มีทั้งผู้ลงคะแนนสามารถเลือกได้เพียงคนเดียว หรือหลายคนแต่ไม่เกินกี่คน หรือจำนวนใด ๆ ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญก็ได้
โดยทั่วไป บัตรลงคะแนนในระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าสามารถแบ่งได้เป็นสองแบบหลัก แบบง่ายที่สุดประกอบด้วยช่องว่างซึ่งเว้นไว้เพื่อเขียนชื่อผู้สมัครที่ต้องการด้วยลายมือ แบบที่เป็นระเบียบมากขึ้นจะมีรายชื่อผู้สมัครและมีช่องว่างข้างหน้าชื่อผู้สมัครสำหรับการกาเครื่องหมายเลือกผู้สมัครรายเดียว (หรือหลายรายในบางระบบ)
ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับแคนาดา และสหรัฐ ใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวในการเลือกตั้งระดับประเทศ ซึ่งในแต่ละเขตเลือกตั้งจะมีผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียว ผู้สมัครรายใดที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดในเขตนั้นจะได้รับเลือก (คะแนนเสียงที่เหนือกว่าชนะ) โดยไม่จำเป็นจะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินร้อยละ 50 ของคะแนนเสียงทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เมื่อค.ศ. 1992 พรรคเสรีประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งหนึ่งในสกอตแลนด์โดยมีคะแนนเพียงร้อยละ 26 เท่านั้น ในระบบเขตเลือกตั้งที่มีผู้แทนคนเดียวที่ใช้ระบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าในการเลือกผู้ชนะนั้นมักจะทำให้เกิดพรรคใหญ่เพียงสองพรรค ในประเทศที่ใช้ระบบสัดส่วนในการเลือกตั้งนั้นในทางกลับกันไม่เป็นประโยชน์ที่จะลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองใหญ่ จึงทำให้เกิดระบบการเมืองแบบหลายพรรคขึ้น
ในสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร แต่ในการเลือกตั้งในระดับสภาของตนนั้นใช้แบบสัดส่วนในการเลือกตั้ง ในสหราชอาณาจักรทั้งหมดใช้ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนในการเลือกตั้งสภายุโรป
ประเทศที่ได้รับมรดกทางการเมืองมาจากบริเตนใหญ่นั้นล้วนจะมีสองพรรคใหญ่ ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เช่นในสหรัฐซึ่งมีพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ส่วนในแคนาดานั้นถือเป็นข้อยกเว้น โดยมีพรรคการเมืองใหญ่หลัก ๆ ถึงสามพรรค ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ใหม่ ซึ่งเป็นฝ่ายซ้าย พรรคอนุรักษนิยม ซึ่งเป็นฝ่ายขวา และพรรคเสรีนิยม ซึ่งอยู่ตรงกลางค่อนไปทางซ้าย ส่วนพรรคในลำดับที่สี่ซึ่งไม่ถือเป็นพรรคการเมืองหลักในปัจจุบันได้แก่ พรรคบล็อกเกเบกัวซึ่งสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราชของรัฐควิเบก และเป็นพรรคประจำเขตซึ่งลงแข่งขันเพียงแค่ในการเมืองระดับรัฐ ส่วนในนิวซีแลนด์นั้นเคยใช้ระบบเดียวกับบริเตนใหญ่ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคเช่นกัน ซึ่งทำให้พลเมืองชาวนิวซีแลนด์ไม่พอใจเพราะปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขจึงทำให้รัฐสภานิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายใน ค.ศ. 1993 ไปใช้ระบบการเลือกตั้งเช่นเดียวกับเยอรมนี ซึ่งใช้ระบบสัดส่วน (PR) โดยมีที่นั่งจำนวนหนึ่งมาจากแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต่อมาจึงทำให้นิวซีแลนด์กลายเป็นประเทศที่มีการเมืองแบบหลายพรรค[2]
ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ใน ค.ศ. 2015 มีข้อเรียกร้องจากพรรคเอกราชสหราชอาณาจักรในการปฏิรูประบบเลือกตั้งให้เป็นแบบสัดส่วนเนื่องจากพรรคฯ ได้รับคะแนนเสียงทั้งประเทศถึง 3,881,129 คะแนน แต่ได้ที่นั่งในสภาไปเพียงแค่ที่นั่งเดียว[3] ส่วนพรรคกรีนนั้นร่วมชะตากรรมเดียวกันคือที่นั่งกับคะแนนเสียงไม่สัมพันธ์กัน ในขณะที่พรรคชาติสกอตนั้นได้คะแนนเสียงเพียง 1,454,436 คะแนน แต่ได้ที่นั่งถึง 56 ที่นั่งเนื่องจากแรงสนับสนุนท่วมท้นในเขตเลือกตั้งของสกอตแลนด์
ใช้จำนวนประชากรเป็นร้อยละโดยนำมาจากรัฐเทนเนสซีในสหรัฐเป็นตัวอย่างประกอบ
สมมติว่ารัฐเทนเนสซีกำลังจะจัดการเลือกตั้งเพื่อเลือกเมืองหลวงของรัฐ โดยประชากรในรัฐเทนเนสซีนั้นกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลักทั้งสี่เมืองซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละฝั่งของรัฐ ในตัวอย่างนี้ให้สมมติว่าเขตเลือกตั้งทั้งเขตนั้นอยู่ในเขตเมืองทั้งสี่นี้ และประชาชนทุกคนต้องการเลือกให้อาศัยอยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด
รายชื่อเมืองผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งเมืองหลวงได้แก่
การแบ่งจำนวนเสียงข้อผู้ลงคะแนนสามารถจำแนกได้ดังนี้
42% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับเมมฟิส) | 26% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับแนชวิลล์) | 15% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับแชตตานูกา) | 17% ของคะแนนเสียง (ใกล้กับน็อกซ์วิลล์) |
---|---|---|---|
|
|
|
|
หากผู้ลงคะแนนแต่ละคนในแต่ละเมืองนั้นเลือกได้เพียงเมืองเดียว (ชาวเมมฟิสเลือกเมมฟิส ชาวแนชวิลล์เลือกแนชวิลล์ เป็นต้น) เมมฟิสจะได้รับเลือกเนื่องจากมีคะแนนเสียงมากที่สุด (ร้อยละ 42) ซึ่งในระบบนี้ไม่ได้ใช้เกณฑ์คะแนนเสียงข้างมากในการเลือกผู้ชนะ เมมฟิสเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเนื่องจากได้คะแนนเสียงมากที่สุดถึงแม้ว่าอีกร้อยละ 58 ของผู้ลงคะแนนจะไม่เลือกเมมฟิสก็ตาม ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นหากมีการใช้ระบบสองรอบในการลงคะแนนซึ่งแนชวิลล์ก็จะเป็นผู้ชนะแทน (ในทางปฏิบัติแล้วผู้ลงคะแนนในแชตตานูกาและนอกซ์วิลล์จะใช้กลยุทธ์ในการเลือกตั้งและเลือกเมืองแนชวิลล์แทน)
เมนูนำทาง
การลงคะแนนแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า การลงคะแนนใกล้เคียง
การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย การลงจอด การลงคะแนนเสียงในสวิตเซอร์แลนด์ การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2566 การลงประชามติว่าด้วยสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 การลงคะแนนแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า การลงประชามติแยกซูดานใต้เป็นเอกราช พ.ศ. 2554 การลงคะแนนแบบจัดลำดับ การลงประชามติแยกเป็นเอกราช การลงประชามติประมวลกฎหมายครอบครัวคิวบา พ.ศ. 2565แหล่งที่มา
WikiPedia: การลงคะแนนแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่า http://news.sky.com/story/1479845/reckless-out-ami... http://aceproject.org/epic-en/es#ES05 https://books.google.com/books?id=2BudCN3zBCoC