ชีวิตประวัติ ของ การาวัจโจ

ชีวิตเบื้องต้น (ค.ศ. 1571–ค.ศ. 1592)

เด็กชายปอกผลไม้” ซึ่งเป็นงานเขียนเท่าที่ทราบว่าเป็นงานเขียนชิ้นแรก ราว ค.ศ. 1592. สีน้ำมันบนผ้าใบ, 64.2 x 51.4 ซม. มูลนิธิโรเบอร์โต ลอนกีห์, ฟลอเรนซ์

การาวัจโจเกิดที่มิลาน[3] ที่พ่อแฟร์โม เมรีชีเป็นผู้บริหารกิจการภายในและสถาปนิก-นักตกแต่งแก่มาร์ควิสแห่งการาวัจโจ ลูเชีย อาราตอรีแม่ของการาวัจโจมาจากครอบครัวผู้มีอันจะกินในบริเวณเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1576 ครอบครัวก็ย้ายไปคาราวัจโจในลอมบาร์ดีเพื่อหนีโรคระบาดในมิลาน พ่อของคาราวัจโจเสียชีวิตที่นั่นในปี ค.ศ. 1577 และแม่ในปี ค.ศ. 1584 จึงสันนิษฐานว่าการาวัจโจเติบโตที่การาวัจโจแต่ครอบครัวยังรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลสฟอร์ซา (Sforza) และตระกูลโคโลนา (Colonna) ที่เป็นครอบครัวที่มีอิทธิพลและเป็นพันธมิตรกับตระกูลสฟอร์ซาจากการแต่งงาน ครอบครัวนี้ต่อมามีความสำคัญต่อในชีวิตของการาวัจโจ

ใน ค.ศ. 1584 การาวัจโจฝึกงานเป็นเวลาสี่ปีกับจิตรกรชาวลอมบาร์ดชื่อซีโมเน เปแตร์ซาโน (Simone Peterzano) ผู้ที่บรรยายตัวเองในสัญญาการฝึกงานว่าเป็นลูกศิษย์ของทิเชียน ดูเหมือนว่าการาวัจโจจะพำนักอยู่ที่บริเวณมิลาน-การาวัจโจหลังจากฝึกงานเสร็จ แต่ก็เป็นไปได้ว่าได้ไปเวนิสและได้ไปเห็นงานของจอร์โจเนผู้ที่เฟเดอริโค ซูคคาริกล่าวหาว่าเลียนแบบ[4] และของทิเชียน นอกจากนั้นการาวัจโจก็ยังมีความคุ้นเคยกับงานมีค่าต่างๆ ของมิลาน รวมทั้งงาน “พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย” โดยเลโอนาร์โด ดา วินชี และงานของลอมบาร์ดีซึ่งมีจะไปทางที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติที่ใกล้กับลักษณะธรรมชาตินิยมของเยอรมันกว่าลักษณะอันหรูหราใหญ่โตแบบแมนเนอริสม์ของโรม[5]

ในกลางปี ค.ศ. 1592 การาวัจโจหนีจากมิลานหลังจากเหตุการณ์บางอย่างที่คาราวัจโจไปทำร้ายตำรวจ การาวัจโจมาถึงกรุงโรมอย่าง “ตัวเปล่าเล่าเปลือยและมีแต่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ... โดยไม่มีที่อยู่ที่ถาวรและอาหารการกิน ... ไม่มีเงินติดตัว”[6] สองสามเดือนต่อมาคาราวัจโจก็ได้ทำงาน “เขียนดอกไม้และผลไม้”[7] ให้กับจุยเซ็ปปิ เซซาริช่างเขียนคนโปรดของสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ผู้เป็นช่างเขียนที่มีความสำเร็จดีในเวิร์คช็อพที่คล้ายโรงงาน งานเขียนจากช่วงนี้ก็ได้แก่งานเขียนชิ้นเล็ก “เด็กชายปอกผลไม้” ซึ่งเป็นงานเขียนเท่าที่ทราบว่าเป็นงานเขียนชิ้นแรก, “เด็กชายกับตะกร้าผลไม้” และ “บาคคัสไม่สบาย” ซึ่งว่ากันว่าเป็นภาพเหมือนตนเองระหว่างที่นอนป่วยหนักอยู่ จนในที่สุดต้องหยุดทำงานให้กับเซซาริ งานทั้งสามแสดงให้เห็นลักษณะการเขียนร่างกายอย่างหนึ่ง—ที่เป็นลักษณะเหมือนจริง—ซึ่งกลายมาเป็นลักษณะที่มีเด่นของการเขียนภาพของคาราวัจโจ ศาสตราจารย์ทางพืชสวนคนหนึ่งวิจัยตะกร้าผลไม้ในภาพพบว่าสามารถบอกทุกสิ่งทุกอย่างในภาพได้ถูกต้องจนแม้แต่ “... ใบฟิกใหญ่ที่มีรอยรา (cingulataanthracnose) ไหม้อยู่บนใบ”[8]

การาวัจโจเลิกทำงานกับเซซารีในเดือนมกราคม ค.ศ. 1594 และตั้งใจที่จะอยู่บนขาของตัวเองแต่สถานะการณ์ขณะนั้นยังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก ในขณะเดียวกันการาวัจโจก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนสองสามคนที่ต่อมามามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อคาราวัจโจ: จิตรกรโพรสเปโร ออร์ซิ (Prospero Orsi) สถาปนิกโอโนริโอ โลงกิ (Onorio Longhi) และศิลปินซิซิลีอายุสิบหกปี มาริโอ มินนิติ (Mario Minniti) ออร์ซิขณะนั้นมีชื่อเสียงแล้วก็ได้แนะนำคาราวัจโจแก่นักสะสมผู้มีอิทธิพลคนสำคัญหลายคน; โลงกิที่ร้ายกว่าแนะนำให้รู้จักชีวิตการทะเลาะเบาะแว้งตามถนนในกรุงโรม; และมินนิติเป็นตัวอย่างที่ดีแก่การาวัจโจและหลายปีต่อมาเป็นเครื่องมือที่ทำให้การาวัจโจได้รับงานจ้างสำคัญๆ ในซิซิลี[9]

คนโกงไพ่”, ราว ค.ศ. 1594. สีน้ำมันบนผ้าใบ, 107 x 99 ซม. พิพิธภัณฑ์ศิลปะคิมเบลล์, ฟอร์ทเวิร์ธ, เท็กซัส

หมอดู” เป็นภาพแรกที่เขียนที่มีตัวแบบมากกว่าหนึ่งตัวในภาพ เป็นภาพของมาริโอถูกหลอกโดยหญิงยิปซี ซึ่งเป็นหัวเรื่องการเขียนที่ยังใหม่สำหรับโรมและเป็นภาพที่ต่อมามีอิทธิพลต่อมาต่อนักเขียนผู้อื่นอีกกว่าร้อยปี แต่ในขณะนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักและคาราวัจโจขายได้เพียงไม่กี่สตางค์ “คนโกงไพ่” — เป็นภาพเด็กที่ไม่ใช่เด็กจากครอบครัวชนชั้นสูงที่ตกเป็นเหยื่อของการโกงไพ่ — ซึ่งเป็นภาพที่เพิ่มความซับซ้อนทางจิตวิทยามากขึ้นและอาจจะถือได้ว่าเป็นงานเขียนชิ้นเอกชิ้นแรกของคาราวัจโจที่แท้จริงก็ได้ เช่นเดียวกับภาพ “หมอดู” “คนโกงไพ่” เป็นภาพที่เป็นที่นิยมกันมากและยังมีอีกกว่า 50 ภาพที่ยังคงอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการที่ทำให้คาราวัจโจเป็นที่สนใจของคาร์ดินัลฟรานเชสโค มาเรีย เดล มอนเตผู้เป็นนักสะสมศิลปะคนสำคัญคนหนึ่งของโรม คาราวัจโจเขียนภาพชีวิตประจำวันแบบนี้ให้กับเดล มอนเตและคนในวงการที่ร่ำรวยหลายภาพเช่น — “นักดนตรี”, “คนเล่นลูท”, “บาคคัส” เมา, และอุปมานิทัศน์แต่เหมือนจริงในภาพ “เด็กถูกจิ้งเหลนกัด” — ที่ใช้มินนิติและเด็กผู้ชายคนอื่นๆ เป็นแบบ[10] บรรยากาศที่ดูเหมือนจะสื่อความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายในภาพเหล่านี้เป็นหัวข้อของการถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการและนักเขียนชีวประวัติตั้งแต่มีผู้เสนอความคิดเมื่อหลังครึ่งคริสต์ศตวรรษที่ 20[11]

ลักษณะการเขียนของความเป็นจริงเช่นนี้มาปรากฏในภาพเขียนแรกๆ ที่เป็นภาพเขียนเกี่ยวกับศาสนาที่สื่อความรู้สึกศรัทธาทางใจที่เห็นได้ชัด งานชิ้นแรกๆก็ได้แก่ “แมรี แม็กดาเลนเศร้า” ที่เป็นภาพนักบุญแมรี แม็กดาเลนในชั่วขณะที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้หญิงในราชสำนักที่นั่งร้องไห้บนม้านั่งเตี้ยๆ โดยมีเครื่องประดับกระจัดกระจายอยู่รอบตัว “ดูไม่เหมือนภาพทางศาสนาเลย ... หญิงสาวนั่งบนม้าไม้เตี้ยขณะที่ทำผมให้แห้ง ... ความรู้สึกผิด ... ความรู้สึกทรมาน ... คำสัญญาว่าจะได้รับการไถ่บาปอยู่ที่ไหน?”[12] การวาดยังเป็นลักษณะไม่ตึงตังที่เป็นการเขียนลักษณะลอมบาร์ด ที่ต่างกับการเขียนแบบประวัติศาสตร์ของลักษณะการเขียนของโรมในขณะนั้น ภาพเขียนนี้ตามด้วยภาพเขียนลักษณะเดียวกันอีกหลายภาพ: “นักบุญแคทเธอรินแห่งอเล็กซานเดรีย”, “มาร์ธาและแมรี แม็กดาเลน”, “จูดิธตัดหัวโฮโลเฟิร์นเนส”, “สังเวยไอแซ็ค”, “นักบุญฟรานซิสปลื้ม” และ “พักระหว่างหนีไปอียิปต์” งานเขียนแม้จะอยู่ในหมู่คนวงแคบแต่ก็เริ่มสร้างชื่อเสียงให้คาราวัจโจในหมู่นักสะสมภาพและเพื่อนศิลปินด้วยกัน แต่ถ้าจะให้มีชื่อเสียงจริงแล้วคาราวัจโจก็ต้องได้รับงานจากสาธารณะซึ่งหมายความว่าก็ต้องหันไปหาวัด

“จิตรกรผู้มีชื่อเสียงที่สุดในโรม” (ค.ศ. 1600–1606)

พระเยซูเรียกนักบุญแม็ทธิว”. ค.ศ. 1599- ค.ศ. 1600. สีน้ำมันบนผ้าใบ, 322 x 340 ซม. ชาเปลคอนทาเรลลิ, ซานลุยจิ เดอิ ฟรานเชซิ, โรม ลำแสงที่ส่องเข้ามาในภาพจากหน้าต่างในภาพแสดงความเปลี่ยนใจของนักบุญแม็ทธิวในชั่ววินาทีที่ได้เห็น โดยไม่ต้องมีเทวดาบินว่อนหรือเมฆเบิกแสงหรือสัญญาณอื่นๆ ประกอบ

อาจจะด้วยอิทธิพลของคาร์ดินัลเดล มอนเตก็เป็นได้ที่การาวัจโจได้รับสัญญาจ้างให้ตกแต่งชาเปลคอนทราเรลลิในซันลุยจีเดย์ฟรันเชซี ในปี ค.ศ. 1599 ที่เป็นงานเขียนภาพสองภาพ “การพลีชีพของนักบุญแม็ทธิว” และ “พระเยซูเรียกนักบุญแม็ทธิว” ที่เขียนเสร็จในปี ค.ศ. 1600 ที่เป็นงานที่เป็นที่ต้อนรับเป็นอย่างดี คาราวัจโจใช้ลักษณะการเขียนที่เรียกว่าภาพสว่างในความมืด (tenebrism) (ลักษณะที่หนักกว่าการใช้ ค่าต่างแสง (chiaroscuro)) ที่ช่วยเพิ่มความเป็นนาฏกรรมของภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกับที่ยังรักษารายละเอียดของความเป็นจริงที่ทำให้การสื่อความหมายทางความรู้สึกยิ่งรุนแรงหนักขึ้น แต่ความเห็นในบรรดาเพื่อนศิลปินด้วยกันแตกต่างกันไป บ้างก็วิจารณ์จุดอ่อนต่าง ๆ ที่เห็นเช่นติการเน้นการเขียนจากชีวิตจริงโดยไม่ได้ร่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วคาราวัจโจก็ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้มาช่วยชุบชีวิตศิลปะ: “จิตรกรที่โรมต่างก็ประทับใจในแนวการเขียนใหม่ของจิตรกรหนุ่ม และรุ่นเด็กลงไปต่างก็มาล้อมรอบตัวคาราวัจโจและสรรเสริญว่าเป็นมีเอกลักษณ์ในการเขียนเลียนแบบธรรมชาติและมองงานของคาราวัจโจว่าเป็นงานปาฏิหาริย์”[13]

หลังจากนั้นการาวัจโจก็ได้รับสัญญาจ้างเขียนภาพศาสนาอีกมากมายที่เป็นภาพเกี่ยวกับการขัดแย้งทางใจ, การทรมานที่น่าสยดสยอง, และการตายการทรมาน ส่วนใหญ่แล้วงานที่เขียนก็เพิ่มความมีชื่อเสียงของคาราวัจโจยิ่งขึ้น มีเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธโดยผู้จ้างที่คาราวัจโจต้องนำกลับมาเขียนใหม่และขายให้ลูกค้าคนใหม่ หัวใจของปัญหาอยู่ที่ความรุนแรงของความเป็นนาฏกรรมของภาพและความเป็นจริงของภาพที่ยังยากที่จะเป็นที่ยอมรับของผู้จ้าง ผู้ที่บางคนที่ยังเห็นว่าเป็นลักษณะการเขียนภาพศาสนาที่ขาดความเคารพ[14] เช่นภาพฉบับแรกของ “นักบุญแม็ทธิวและเทวดา” ที่เป็นภาพนักบุญแม็ทธิวในลักษณะที่เป็นชาวบ้านหัวล้านแข้งขาสกปรกกับผู้นั่งชื่นชมรอบๆ ข้างที่เป็นชายที่แต่งกายหลวมๆ หน้าตาราวเทวดาที่คาราวัจโจชอบวาด แต่ภาพถูกผู้จ้างไม่ยอมรับงาน คาราวัจโจต้องนำกลับไปเขียนแต่งใหม่เป็น “แรงบันดาลใจของนักบุญแม็ทธิว” หรืออีกภาพหนึ่ง “มโนทัศน์ของนักบุญพอล” ที่ถูกปฏิเสธและขณะที่ฉบับอื่นของหัวข้อเดียวกัน “มโนทัศน์ของนักบุญพอลบนถนนสู่ดามาสคัส” ได้รับการยอมรับ ที่เป็นภาพของม้าที่ก้มลงมาดูนักบุญพอลที่ม้าดูจะมีความสำคัญในภาพมากกว่าตัวนักบุญพอลเอง ความขัดแย้งในการยอมรับหรือไม่ยอมรับทำให้คาราวัจโจหมดแรงกับเจ้าหน้าที่ของซันตามาเรียเดลโปโปโล: “ทำไมถึงเอาม้าไว้กลางรูปและให้นักบุญพอลนอนบนพื้น?” “เพราะ!” “ม้าเป็นม้าของพระเจ้าหรือ?” “เปล่า, แต่มันยืนขวางแสงของพระเจ้า!”[15]

มรณกรรมของพระแม่มารี”. ค.ศ. 1601 - ค.ศ. 1606. สีน้ำมันบนผ้าใบ, 396 x 245 ซม. พิพิธภัณฑ์ลูฟร์, ปารีส

งานอื่นๆ ก็ได้แก่ “ชะลอร่างจากกางเขน”, “พระแม่มารีโลเร็ตโต” (หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พระแม่มารีแห่งนักแสวงบุญ”), “พระแม่มารีและพระบุตรกับนักบุญอันนา” และ “มรณกรรมของพระแม่มารี” ประวัติของสองภาพหลังแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาการรับหรือไม่ยอมรับงานบางชิ้นของคาราวัจโจจากนายจ้างในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่นภาพ “พระแม่มารีและพระบุตรกับนักบุญอันนา” หรือที่รู้จักกันในชื่อ พระแม่มารีพาลาเฟรนิเอริ เขียนสำหรับแท่นบูชาขนาดย่อมที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม ที่ตั้งแสดงอยู่ได้เพียงสองวันก็ถูกนำลง คาร์ดินัลเขียนว่า: “ภาพเขียนนี้ไม่มีอะไรนอกไปจากความหยายคาย, ความลบหลู่ศาสนา, ความขาดความเคารพ และความน่าขยะแขยง...เราน่าจะกล่าวได้ว่าเป็นงานที่เขียนโดยจิตรกรที่เขียนได้ดี, แต่มีจิตวิญญาณที่มืด, และเป็นผู้ที่ห่างเหินจากความนับถือในพระเจ้า, จากความชื่นชมในตัวของพระองค์, และจากความคิดอันดี...”

มรณกรรมของพระแม่มารี” เป็นภาพที่คาราวัจโจได้รับจ้างจากเลร์ซิโอ อัลเบร์ติ (Laerzio Alberti) ทนายความของพระสันตะปาปาในปี ค.ศ. 1601 สำหรับชาเปลส่วนตัวภายในซันตามาเรียเดลลาสกาลาซึ่งเป็นอารามคณะคาร์เมไลท์ที่ ทรัสเตเวเร (Trastevere) ในกรุงโรมซึ่งเป็นอารามใหม่ของคณะคาร์เมไลท์ แต่ถูกปฏิเสธโดยนักบวชในปี ค.ศ. 1606 จุยเลียโน มันชินิ (Giulio Mancini) ผู้ร่วมสมัยของคาราวัจโจ บันทึกว่าสาเหตุที่ถูกปฏิเสธเป็นเพราะการาวัจโจใช้โสเภณีผู้มีชื่อเสียงเป็นแบบสำหรับพระแม่มารีย์;[16] แต่จิโอวานนิ บากลิโอเนจิตรกรร่วมสมัยอีกคนหนึ่งกล่าวว่าเป็นเพราะช่วงขาที่ออกจะเปิดเผยของพระแม่มารี[17] — ทั้งสองกรณีอ้างมาตรฐานของสังคมขณะนั้น แต่นักวิชาการการาวัจโจ จอห์น แกชตั้งข้อเสนอว่าปัญหาของนักบวชคาร์เมไลท์อาจจะไม่ใช่ความพอใจหรือไม่พอใจในความสวยงามของภาพ แต่ข้อขัดแย้งมีรากฐานมาจากความแตกต่างทางมุมมองของปรัชญาทางศาสนา ที่นักบวชคาร์เมไลท์มีความเห็นว่าภาพของการาวัจโจละเลยความเชื่อในเรื่องแม่พระรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ภาพเขียนที่นำมาแทนเป็นงานเขียนของผู้ติดตามของการาวัจโจเอง คาร์โล ซาราเชนิ (Carlo Saraceni) แสดงภาพพระแม่มารีที่มิได้นอนเสียชีวิตเช่นในภาพของการาวัจโจ แต่เป็นภาพที่ทรงนั่งเสียชีวิต แต่ภาพนี้ก็ยังถูกปฏิเสธและแทนด้วยภาพที่พระแม่มารีที่มิได้มรณะและขึ้นสวรรค์พร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ แต่จะอย่างไรก็ตามการปฏิเสธก็ไม่ได้หมายความว่างานของการาวัจโจไม่เป็นที่นิยม ไม่นานหลังจากที่ถูกปฏิเสธดยุกแห่งมานทัวก็ซื้อภาพ “มรณกรรมของพระแม่มารี” ตามคำแนะนำของปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และต่อมาโดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ก่อนที่จะตกไปเป็นของงานสะสมของหลวงในฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1671

งานชิ้นหนึ่งในช่วงนี้ที่มิใช่งานศาสนาคือ “ชัยชนะของความรัก” ที่เขียนในปี ค.ศ. 1602 ให้วินเช็นโซ จุสติเนียนิบุคคลในวงเดล มอนเต ตัวแบบบ่งไว้ในบันทึกในต้นคริสต์ศตวรรที่ 17 ว่าชื่อ “เช็คโค” ซึ่งเป็นชื่อเล่นสำหรับฟรานเชสโค ผู้อาจจะเป็นฟรานเชสโค โบเนริที่มีชื่อเกี่ยวพันกับจิตรกรที่ทำงานระหว่าง ค.ศ. 1610-ค.ศ. 1625 ที่รู้จักกันในชื่อเช็คโค เดล คาราวัจโจ (Cecco del Caravaggio) [18] คิวปิดถือคันธนูและศรยืนครึ่งนั่งครึ่งยืนเปลือยเปล่าอยู่บนสัญลักษณ์ของศิลปะ, วิทยาศาสตร์ของการสงคราม และความสงบ แต่เป็นการยากที่จะยอมรับใบหน้าที่ยิ้มเยาะว่าเป็นใบหน้าของคิวปิดเทพโรมัน – และยากที่จะยอมรับว่าเป็นใบหน้าของชายหนุ่มต่างๆ ที่แทบจะไม่สวมอะไรบนร่างกายของที่การาวัจโจเขียนเป็นเทวดาที่สวมปีกปลอมภาพอื่นๆ การวาดลักษณะนี้แสดงความหมายของความกำกวมของงานของการาวัจโจที่ภาพเป็นคิวปิดหรือเทพโรมันแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเช็คโคด้วย หรือภาพพระแม่มารีที่ขณะเดียวกับที่เป็นพระมารดาของพระเยซูก็เป็นสตรีในราชสำนักด้วย

ลี้ภัยและความตาย (ค.ศ. 1606–ค.ศ. 1610)

ชัยชนะของความรักค.ศ. 1602-ค.ศ. 1603. สีน้ำมันบนผ้าใบ. 156 x 113 ซม. Gemäldegalerie, เบอร์ลิน. คาราวัจโจแสดงคิวปิดเหนือ ศาสตร์สำคัญของมนุษย์: สงคราม, ดนตรี, วิทยาศาสตร์, การปกครองชุบชีวิตลาซารัส” (1609), พิพิธภัณฑ์เรจิโอนาเล, เมสสินานักบุญปีเตอร์ปฏิเสธพระเยซู”, ราว ค.ศ. 1610 สีน้ำมันบนผ้าใบ, 94 x 125 ซม. พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตัน, นครนิวยอร์ก ในภาพสตรีในเงาชี้สองนิ้วไปยังนักบุญปีเตอร์ขณะที่ทหารชี้นิ้วที่สาม ซึ่งเป็นการที่คาราวัจโจเล่าเรื่องการที่นักบุญปีเตอร์ปฏิเสธพระเยซูสามครั้งโดยการใช้สัญลักษณ์การชี้นิ้วสามนิ้วแทนที่จะวาดภาพเหตุการณ์

คาราวัจโจมีชีวิตที่ออกจะยุ่งเหยิงเพราะความมีชื่อเสียงว่าชอบทะเลาะเบาะแว้ง หลักฐานจากช่วงนั้นกล่าวถึงบันทึกรายงานของตำรวจและการขึ้นศาลเป็นหลายหน้า และเมื่อวันที่ 29 May ค.ศ. 1606 คาราวัจโจก็ฆ่าชายหนุ่มชื่อรานุชชิโอ โทมัสโซนิซึ่งอาจจะโดยไม่ได้ตั้งใจ[19] ก่อนหน้านั้นเมื่อมีเรื่องมีราวอะไรผู้อุปถัมภ์ผู้มีอำนาจก็มักจะช่วยปกป้องให้ แต่ครั้งนี้เหตุที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าที่ผู้ใดจะช่วยได้ คาราวัจโจผู้กลายเป็นคนนอกกฎหมายจึงต้องหนีไปเนเปิลส์ซึ่งอยู่ภายนอกการครอบคลุมของกฎหมายโรม และไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูลโคลอนนา จิตรกรผู้มีชื่อเสียงที่สุดของโรมจึงกลายเป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงที่สุดของเนเปิลส์ ความเกี่ยวข้องกับตระกูลโคลอนนาทำให้คาราวัจโจได้รับงานสำคัญๆ หลายชิ้นจากวัดรวมทั้งงาน “พระแม่มารีแห่งโรซารี” และ “การทำความดีเจ็ดอย่าง

แม้ว่าจะประสพความสำเร็จในเนเปิลส์ แต่คาราวัจโจก็พำนักอยู่เพียงสองสามเดือนหลังก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังมอลตาอันเป็นศูนย์กลางของคณะอัศวินฮอสปิทัลเลอร์ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเพื่อหวังว่าจะได้รับการอุปถัมภ์จากอลอฟ เด วินยาคอร์ท (Alof de Wignacourt) ผู้เป็นแกรนด์มาสเตอร์ของอัศวินแห่งลัทธิเซนต์จอห์น และซึ่งคาราวัจโจอาจจะหวังว่าเป็นผู้ที่อาจจะมีอำนาจพอที่จะขออภัยโทษในเรื่องการสังหารโทมัสโซนิ เด วิยาคอร์ทมีความประทับใจกับผลงานคาราวัจโจและมีความภูมิใจในการที่มีจิตรกรสำคัญเป็นช่างเขียนประจำลัทธิจนถึงกับแต่งตั้งให้คาราวัจโจเป็นสมาชิก นักชีวประวัติเบลโลริบันทึกว่าการาวัจโจเองก็มีความพอใจกับความสำเร็จที่ได้รับ งานสำคัญในช่วงที่พำนักอยู่ที่มอลตาก็รวมทั้งภาพเขียนขนาดใหญ่ “การตัดหัวนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์” (ภาพเขียนเดียวที่ลงนาม) และ “ภาพเหมือนของอลอฟ เด วิยาคอร์ตและเด็กรับใช้” และภาพเหมือนของอัศวินคนสำคัญอื่นๆ แต่ในเดือนสิงหาคมของปี ค.ศ. 1608 คาราวัจโจก็ไปมีเรื่องมีราวอีกจนถูกจับเข้าคุก สาเหตุของการจับกุมและการกักขังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน แต่จากการสืบสวนเมื่อไม่นานมานี้กล่าวว่ามีสาเหตุมาจากการทะเลาะเบาะแว้งอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้มีการพังประตูและทำให้อัศวินผู้หนึ่งบาดเจ็บ[20] ภายในเดือนธันวาคมการาวัจโจก็ถูกปลดจากการเป็นสมาชิกและถูกขับออกจากมอลตาอย่างอัปยศ[21]

ก่อนที่จะถูกขับการาวัจโจก็หนีไปซิซิลิไปหาเพื่อนเก่ามาริโน มินนิติที่ขณะนั้นแต่งงานแล้วและพำนักอยู่ที่ไซราคิวส์ จากที่นั่นคาราวัจโจและมินนิติก็ออกเดินทางที่ได้รับความสำเร็จตั้งแต่ไซราคิวส์ไปจนถึงเมสสินาและต่อไปยังพาร์เลอโม ในแต่ละเมืองคาราวัจโจก็ได้รับงานสำคัญๆ และค่าจ้างเขียนอย่างสูง งานในช่วงนี้บางชิ้นก็ได้แก่ “การฝังนักบุญลูซิ”, “ชุบชีวิตลาซารัส” และ “การชื่นชมของคนเลี้ยงแกะ

ลักษณะการเขียนของคาราวัจโจก็ยังคงวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ โดยการแสดงตัวแบบหรือกลุ่มตัวแบบบนฉากหลังใหญ่ที่ว่างเปล่า “งานฉากแท่นบูชาชิ้นเอกในซิซิลี คาราวัจโจวางตัวแบบในบริเวณที่กว้างใหญ่และมืดซึ่งเป็นการสื่อความหวาดหวั่นและความบอบบางของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็สื่อความอ่อนโยนและความงามในความถ่อมตัวของร่างเล็กๆ ที่จะมาครองโลกต่อมา”[22] บันทึกมันชินิของผู้ร่วมสมัยกล่าวถึงความประพฤติของการาวัจโจว่ายิ่งประหลาดขึ้นทุกวัน เช่นนอนหลับทั้งๆ ที่ยังสวมเสื้อผ้กและมีพกอาวุธเต็มที่ หรือฉีกภาพเขียนทิ้งถ้าใครมาติแม้แต่นิดเดียว หรือเที่ยวเยาะเย้ยช่างเขียนท้องถิ่น[23]

หลังจากที่พำนักอยู่ที่ซิซิลีได้เพียงเก้าเดือนการาวัจโจก็กลับไปเนเปิลส์ จากบันทึกชีวประวัติกล่าวว่เป็นเพราะถูกไล่ตามโดยศัตรูที่ไปก่อขึ้นในซิซิลี นอกจากนั้นการอยู่ที่เนเปิลส์ก็ทำให้การาวัจโจรู้สึกปลอดภัยกว่าภาพใต้การพิทักษ์ของตระกูลโคโลนนาจนกว่าจะได้รับการอภัยโทษจากพระสันตะปาปาและกลับไปโรม[24]

ที่เนเปิลส์การาวัจโจเขียน “นักบุญปีเตอร์ปฏิเสธพระเยซู”, “นักบุญจอห์นแบ็พทิสต์ (บอร์เกเซ)” และภาพสุดท้าย “การพลีชีพของนักบุญเออร์ซูลา” ลักษณะการวาดก็ยังคงวิวัฒนาการต่อไป — คาราวัจโจจับภาพนักบุญเออร์ซูลาในขณะที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น--ภาพขณะที่ลูกศรที่ปลิวจากศรที่ยิงโดยกษัตริย์ฮันไปปักทะลุหน้าอก ซึ่งไม่เหมือนภาพที่วาดกันมาก่อน ที่เป็นการวางท่าที่จัดไว้ล่วงหน้าของช่างเขียน ฝีแปรงที่ใช้เป็นอิสระกว่าเดิมและเป็นแบบอิมเพรสชันนิสต์ ถ้าคาราวัจโจมีชีวิตยืนยาวอยู่ต่อมางานเขียนก็คงจะมีอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก

ขณะที่พำนักอยู่ที่เนเปิลส์ก็มีคนพยายามสังหารการาวัจโจ ถึงกับมีข่าวที่โรมว่าจิตรกรคนสำคัญการาวัจโจเสียชีวิตเสียแล้วแต่ก็พบว่ายังมีชีวิตอยู่แต่ใบหน้าถูกทำร้ายจนเสียรูป ระหว่างนั้นคาราวัจโจก็เขียน “ซาโลเมและหัวของนักบุญจอห์นแบ็พทิสต์” (มาดริด) แสดงหัวตัวเองบนถาดและจัดส่งภาพไปให้เด วิยาคอร์ทเพื่อเป็นการขอขมา ในช่วงเดียวกันการาวัจโจก็อาจจะเขียน “เดวิดกับหัวโกไลแอธ” (เวียนนา) ซึ่งเป็นภาพที่แสดงเดวิดเมื่อยังหนุ่มที่แสดงสีหน้าออกจะเศร้าที่มองไปทางหัวที่บาดเจ็บของโกไลแอธ ภาพนี้อาจจะเป็นภาพที่ส่งไปให้หลานของคาร์ดินัลสคิปิโอเน บอร์เกเซ (Scipione Borghese) ผู้มีอำนาจการให้อภัยโทษ[25]

ในหน้าร้อนปี ค.ศ. 1610 การาวัจโจก็ลงเรือขึ้นเหนือพร้อมกับภาพสามภาพสำหรับคาร์ดินัลสคิปิโอเนเพื่อไปรับใบอภัยโทษที่น่าจะได้รับจากอิทธิพลของเพื่อนผู้มีอำนาจในโรม[26] แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นออกจะสับสน ในวันที่ 28 กรกฎาคม หนังสือพิมพ์ส่วนบุคคล (avviso) จากโรมรายงานไปยังสำนักดยุกแห่งเออร์บิโนถึงการเสียชีวิตของการาวัจโจ สามวันต่อมาหนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งกล่าวว่าเสียชีวิตเพราะไข้ นี่เป็นรายงานข่าวแรกเกี่ยวกับการตายอย่างสั้นๆ แต่ต่อมามีการขยายความกันอย่างใหญ่โต แต่ไม่พบร่าง[27] เพื่อนที่เป็นกวีกล่าวว่าคาราวัจโจเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม และงานการค้นคว้าเมื่อเร็วๆ นี้อ้างว่าได้พบประกาศการเสียชีวิตของศิลปินด้วยไข้ที่พอร์โต เออร์โคเล[28] ใกล้โกรสเซตโตในทัสกานี