กูลัก (
รัสเซีย: ГУЛаг;
อังกฤษ: Gulag, คำย่อของ
สำนักบริหารหลักค่ายแรงงาน)
[lower-alpha 1] เป็นหน่วยงานราชการเพื่อการกำกับดูแลระบบค่ายแรงงาน
สหภาพโซเวียต ถูกจัดตั้งโดย
วลาดีมีร์ เลนิน[1][2] และถึงจุดสูงสุดในช่วงการปกครองของ
โจเซฟ สตาลิน ระหว่างทศวรรษที่ 1930 ถึงต้นทศวรรษที่ 1950 ผู้พูดภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า gulag ในการกล่าวถึงค่ายบังคับแรงงานสหภาพโซเวียต รวมถึงค่ายที่มีอยู่ในยุคก่อนสตาลิน
[3][4] ในค่ายมีนักโทษหลากหลาย ตั้งแต่อาชญากรผู้น้อยไปจนถึงนักโทษการเมือง จำนวนมากถูกตัดสินโดยกระบวนการง่ายๆของตรอยกาของพลาธิการกิจการภายในประชาชน หรือเครื่องมืออื่นๆของ
การลงโทษนอกระบบกฎหมาย กูลักได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามทางการเมืองของสหภาพโซเวียตนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Nicolas Werth เขียนใน The Black Book of Communism กล่าวว่า อัตราการเสียชีวิตต่อปีในค่ายกักกันทั้งหมด แตกต่างกัน คือ 5% (ค.ศ.1933) และ 20% (ค.ศ.1942–1943) ในขณะที่ลดลงอย่างมากหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ 1 ถึง 3% ต่อปี เมื่อต้นทศวรรษที่ 1950)
[5][6] ความเห็นพ้องในหมู่นักวิชาการที่ใช้ข้อมูลจากหอเก็บเอกสารของทางการ ตั้งแต่ ค.ศ.1930–1953 ประมาณ 1.5 ถึง 1.7 ล้านคนเสียชีวิต
อะเลคซันดร์ โซลเซนิตซิน ผู้ชนะ
รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมและผู้รอดชีวิตจากการถูกจองจำ 8 ปีในกูลัก มีชื่อเสียงในระดับสากลด้วยการตีพิมพ์ The Gulag Archipelago ค.ศ.1973 ผู้เขียนเปรียบค่ายกระจายตัวเหมือน "ลูกโซ่ของหมู่เกาะ" ในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์เขาอธิบายว่า กูลักเป็นระบบที่ผู้คนทำงานจนตาย อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์บางคนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลทั้งหลายดังกล่าว และแทนที่จะพึ่งพาแหล่งวรรณกรรมอย่างหนัก มีนักวิจัยเอกสารที่พบว่า "ไม่มีแผนทำลายล้าง" ต่อประชากรของกูลัก ไม่มีคำสั่งอย่างเป็นทางการที่จะฆ่าพวกเขา และนักโทษถูกปล่อยตัวเป็นจำนวนมากมาย เกินกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ.1940 มีค่ายอำนวยการ (เรียกง่ายๆว่า “ค่าย”) 53 แห่ง นิคมแรงงาน 423 แห่ง
[7] เหมืองและเมืองอุตสาหกรรรม ทางตอนเหนือและตะวันออกของ
รัสเซียและ
คาซัคสถาน เช่น Karaganda, Norilsk, Vorkuta และ Magadan ที่ค่ายทั้งหลายจะถูกก่อสร้างโดยนักโทษ และดำเนินงานโดยอดีตนักโทษ
[8]