ประวัติ ของ ก๊กมินตั๋ง

การก่อตั้งพรรคและดร.ซุนยัตเซ็น

กองทัพฝ่ายปฏิวัติถงเหมิงฮุ่ยบุกเข้าเมืองหนานจิงในช่วงการปฏิวัติซินไฮ่ ปี ค.ศ. 1911ดร.ซุน ยัตเซ็น ผู้ก่อตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง ได้รับความเคารพถือและยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งชาติ" หรือ "บิดาแห่งสาธารณรัฐจีน"

ในเริ่มแรกนั้นพรรคก๊กมินตั๋งได้สืบทอดอุดมการณ์และรากฐานขององค์กรต่อจากภาระกิจของดร.ซุนยัตเซ็น นักปฏิวัติประชาธิปไตยจีน ผู้ก่อตั้งสมาคมซิงจงฮุ่ยซึ่งเป็นสมาคมเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูจีนและต่อต้านราชวงศ์ชิงขึ้นที่กรุงโฮโนลูลูเมืองหลวงของเกาะฮาวายในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1894[9] สมาคมซิงจงฮุ่ยได้ทำการรวบรวมอาสาสมัครและลุกฮือต่อต้านราชวงศ์ชิงครั้งแรกที่กวางโจวแต่ประสบความล้มเหลว ในปี ค.ศ. 1905 ดร.ซุนได้เข้าร่วมกับสมาคมเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านระบอบศักดินา-ราชาธิปไตยของราชสำนักชิงกลุ่มอื่นๆที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และตั้งเป็นสมาคมถงเหมิงฮุ่ย เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1905 เป็นสมาคมที่มุ่งมั่นที่จะโค่นล้มราชวงศ์ชิงโดยเฉพาะและต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นสาธารณรัฐ

สมาคมถงเหมิงฮุ่ยได้วางแผนและสนับสนุนการปฏิวัติซินไฮ่ ในปี ค.ศ. 1911 และการก่อตั้งสาธารณรัฐจีนเป็นครั้งแรกบนแผ่นดินใหญ่จีน เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 อย่างไรก็ตามดร.ซุนไม่ได้มีอำนาจทางทหารอย่างเต็มที่และเขาได้ยกตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐให้แก่ยฺเหวียน ชื่อไข่ โดยการยื่นข้อเสนอกับการบังคับให้จักรพรรดิผู่อี๋ (จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง) สละราชสมบัติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์

พรรคก๊กมินตั๋งรบกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อชิงอำนาจปกครองประเทศ ก่อนจะพ่ายแพ้และถอยหนีไปไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 และตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นที่นั่น ก๊กมินตั๋งบริหารประเทศโดยเป็นรัฐบาลพรรคเดียวจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างปลายทศวรรษปี พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2533 ก็ค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลง ในสมัยแรก ๆ ที่พรรคก๊กมินตั๋งเข้าปกครองไต้หวัน และชื่อก๊กมินตั๋งใช้เรียกราวกับมีความหมายเหมือนกันหมายถึงจีนชาตินิยมปีพ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) พรรคจีนคณะชาติที่ไต้หวันถึงถูกถอดออกจากการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ เปิดทางให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าเป็นสมาชิกแทน ทำให้ประเทศต่าง ๆ พากันตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน หันมารับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนแทน (รวมถึงประเทศไทย) ส่งผลให้ไต้หวันถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก ซึ่งทางพรรคได้บทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวัน เช่น การสร้างประเทศด้วยระบอบตลาดเสรีแบบทุนนิยม หันมาเน้นอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก ทำให้เศรษฐกิจของไต้หวันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชีย อาจจะกล่าวได้ว่าทางพรรคได้มีบทบาทในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจ แต่การเมืองของไต้หวันก็ถูกมองว่ากึ่งเผด็จการเนื่องจาก ปกครองโดยพรรคการเมืองเดียวพ.ศ. 2549 ก๊กมินตั๋งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีที่นั่งในสภามากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพรรคการเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินประเมินอยู่ราว 2,600-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทรัพย์สินของพรรคค่อย ๆ ขายออกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543[10]