ข้อมูลประชากร ของ คราวซึมเศร้า

จำนวนประมาณของคนที่มีภาวะซึมเศร้า (major depressive episode) และโรคซึมเศร้า (MDD) ต่าง ๆ กันอย่างสำคัญในช่วงชีวิต 10%-25% ของหญิง และ 5%-12% ของชายจะเกิดภาวะซึมเศร้า (major depressive episode)แต่จะมีคนน้อยกว่า คือ 5%-9% ของหญิง และ 2%-3% ของชายจะมีโรคซึมเศร้า (major depressive disorder)ความแตกต่างทางจำนวนระหว่างหญิงชายพบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาและยุโรป[2]

วัยที่เกิดภาวะซึมเศร้ามากที่สุดก็คือช่วงอายุระหว่าง 25-44 ปีการเริ่มต้นของภาวะหรือโรคซึมเศร้าบ่อยครั้งเกิดขึ้นกับคนช่วงกลาง ๆ วัย 20-30 ปี และน้อยครั้งกว่าหลังจากถึงอายุ 65 ปีเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ทั้งหญิงชายสามารถเกิดภาวะนี้ได้เท่า ๆ กันอาการซึมเศร้าเหมือนกันทั้งในเด็กและวัยรุ่น แม้จะมีหลักฐานว่าการแสดงออกของภาวะในบุคคลเดียวกันจะเปลี่ยนไปเมื่อเจริญวัยขึ้น[2]

องค์กรวิจัยทางสุขภาพจิตประจำชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health) มีงานศึกษาที่พบว่า บุคคลที่มีความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) จะมีภาวะซึมเศร้าภายใน 4 เดือนหลังจากเหตุการณ์ที่ประสบ[15]

ปัจจัยทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่ออาการที่ปรากฏค่านิยมของวัฒนธรรมอาจจะมีอิทธิพลว่า บุคคล เพื่อน หรือครอบครัว จะกังวลเกี่ยวกับอาการใดของผู้ป่วยมากที่สุดเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ทำการบำบัดจะรู้ว่า ไม่ควรละเลยอาการอะไรบางอย่างเพราะเป็นเรื่อง "ปกติ" ของวัฒนธรรมนั้น ๆ[2]แต่ว่า ปัจจัยทางสังคม-เศรษฐกิจและทางสิ่งแวดล้อมดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรต่อการเกิดขึ้นของภาวะหรือโรคซึมเศร้า[3]

หญิงที่พึ่งคลอดบุตรอาจจะมีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าซึ่งเรียกว่า postpartum depression (ความซึมเศร้าหลังคลอด) ซึ่งต่างจากอาการที่เรียกว่า maternity blues อันเป็นความเศร้าที่หายเองภายใน 10 วันหลังจากคลอด[16]

แหล่งที่มา

WikiPedia: คราวซึมเศร้า http://www.allaboutdepression.com/dia_12.html http://www.geocities.com/morrison94/mood.htm http://www.icd9data.com/getICD9Code.ashx?icd9=296.... http://www.medscape.com/viewarticle/467185_2 http://search.proquest.com/psycinfo/docview/621115... http://www.webmd.com/depression/guide/optimizing-d... http://faculty.winthrop.edu/DaughertyT/dep.htm http://health.nih.gov/topic/Depression //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20949886 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22335214