ความผิดทางพินัย (
อังกฤษ: regulatory offence (
แบบบริติช)/offense (
แบบอเมริกัน) หรือ regulatory crime)
[1] หรือ
ความผิดกึ่งอาญา (
อังกฤษ: quasi-criminal offence/offense)
[2] คือ ความผิดต่อกฎหมาย ซึ่งไม่ถือเป็น
ความผิดอาญา มักมีโทษเพียงปรับหรือจำคุก
[1] และจะไม่บันทึกไว้ใน
ประวัติอาชญากรรม[3]ความผิดทางพินัยมักกำหนดสำหรับการกระทำทั่วไปในชีวิตประจำวันที่ไม่ต้องการจัดการอย่างรุนแรงเหมือนความผิดอาญา และต้องการเพียงลดความเสี่ยงหรืออันตรายที่จะเกิดแก่สาธารณชน ในขณะที่กฎหมายอาญามุ่งประสงค์จะลดทอนกิจกรรมทางอาญาให้น้อยลงที่สุดทีเดียว
[2] ความผิดทางพินัยมักปรากฏในกฎหมายเกี่ยวกับการจราจร การขนส่ง สุขภาพอนามัย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ การจับสัตว์หรือล่าสัตว์ การควบคุมเพลิง
[2] การผังเมือง การเข้าเมือง ภาษี การพนัน การคุ้มครองผู้บริโภค ฯลฯ
[4]โดยทั่วไป ความผิดทางพินัยมักไม่ต้องพิสูจน์เจตนาเหมือนความผิดทางอาญา เพียงพิสูจน์ว่า ได้กระทำ จะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม ก็เพียงพอจะลงโทษทางพินัยได้แล้ว
[3] ในบางกรณี มีการใช้เจ้าหน้าที่ประเภทอื่นนอกเหนือไปจากตำรวจในการสืบสวนและดำเนินคดีทางพินัย เช่น ในสหราชอาณาจักร อำนาจดำเนินคดีทางพินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยเป็นของ
สำนักบริหารสุขภาพและความปลอดภัย (Health and Safety Executive)
[4]ถึงแม้ความผิดทางพินัยอาจมาจากการกระทำทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่ผลลัพธ์อาจร้ายแรงได้ เช่น อาจนำไปสู่โทษปรับที่สูงมาก หรือการคุมประพฤติ หรือกระทั่งการจำคุก หรือโทษในรูปแบบอื่นที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจประจำวัน เป็นต้นว่า ในสหรัฐ ความผิดทางพินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับการจราจรนั้น มีการลงโทษด้วยการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ และความผิดทางพินัยตามกฎหมายเกี่ยวกับสุรา มีการลงโทษด้วยการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตของสถานบริการ
[3]ในประเทศไทย มีการนำความผิดทางพินัยมาใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2565 ด้วยแนวคิดว่า โทษทางอาญาที่มีอยู่นั้น
เฟ้อเกิน (overcriminalisation)
[5] คำว่า "พินัย" นั้นนำมาจาก
กฎหมายตราสามดวงที่กำหนดโทษปรับ 2 แบบ คือ ปรับเป็นพินัย ซึ่งเป็นการปรับเงินเข้ารัฐ และปรับเป็นสินไหม ซึ่งเป็นการปรับเงินเป็นค่าชดเชยแก่ผู้เสียหาย
[6][7] อย่างไรก็ดี ความผิดทางพินัยที่นำมาใช้ใหม่นั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า "ไปไม่สุด" เพราะชื่อ "พินัย" นั้นเป็นศัพท์เก่าเกิน และไม่นิยามไว้ ทำให้คนทั่วไปสงสัย ทั้งยังไม่กำหนดให้คดีจบที่ศาลชั้นต้น และกำหนดให้การพิจารณาคดีต้องอิงอยู่กับข้อบังคับของประธานศาลฎีกา นอกจากนี้ เหตุผลหนึ่งที่นำความผิดทางพินัยมาใช้ คือ ต้องการทำลายภาพจำของกระบวนการยุติธรรมไทยที่ว่า "คุกมีไว้ขังคนจน" แต่กลับไม่นำระบบ
การปรับรายวัน (day-fine) มาใช้ อันเป็นการปรับให้สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจ ทำให้ที่สุดแล้วคนรวยก็จะไม่เกรงกลัวความผิดทางพินัย เพราะมีเงินจ่ายค่าปรับได้โดยไม่เดือดร้อน
[5][8]