เมนูนำทาง
คัมภีร์ทางศาสนาพุทธในประเทศไทย คัมภีร์ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย
คัมภีร์ทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ครอบคลุมถึงพระไตรปิฎก รวมคัมภีร์ที่อธิบายพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็น อรรถกา ฎีกา อนุฎีกา และปกรณ์วิเศษต่างๆ ที่รจนาด้วยภาษาบาลีขึ้นในแผ่นดินไทยในสมัยต่างๆ ตั้งแต่ยุคแรกที่พุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ
ตามที่ปรากฏในวรรณกรรมทางพุทธศาสนา และคัมภีร์ต่างๆ ระบุว่า พุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาถึงแผ่นดิสุวรรณภูมิเมื่อครั้งที่พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 ทรงอาราธนาให้พระโสณะและพระอุตตระ เป็นพระธรรมทูตเดินทางมาประกาศพระศาสนายังแผ่นดินแห่งนี้ ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับสถานที่ตั้งอันแท้จริงของสุวรรณภูมิ แต่โดยสรุปแล้วภูมิภาคดังกล่าวควรมีอาณาบริเวณครอบคลุมตั้งตั้งแต่ชายฝั่งอ่าวเมาะตะมะจนถึงอ่าวไทย อันเป็นอาณาเขตของอารยะธรรมทวาราวดี หรือภาคกลางของไทยในปัจจุบัน
สมันตัปปาสาทิกา หรือ สมันตปาสาทิกา คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายขยายความพระวินัยปิฎก รจนาโดยพระพุทธโฆสะ เมื่อ พ.ศ. 1000 มีเนื้อความระบุไว้ว่า
สุวณฺณภูมึ คนฺตฺวาน โสณุตฺตรา มหิทฺธิกา
ปิสาเจ นิทฺธมิตฺวาน พฺรหฺมชาลํ อเทสิสุนฺติ ฯ
แปลว่า
พระโสณะและพระอุตตระ ผู้มีฤทธิ์มาก ไปสู่สุวรรณภูมิ
ปราบปรามพวกปีศาจแล้ว ได้แสดงพรหมชาลสูตร
ตามคัมภีร์สมันตปาสาทิกา อธิบายเพิ่มเติมว่า พระโสณะและพระอุตตระได้แสดงอภินิหาริย์ปราบนางผีเสื้อน้ำและทรงแสดงธรรมพรหมชาลสูตร (สูตรว่าด้วยข่ายอันประเสริฐ ประกอบด้วย ศีลน้อย ศีลกลาง และศีลใหญ่) นั่นคือการประพฤติตนอยู่ในสรณะและศีล มีคนทั้งหลายในสุวรรณภูมิประเทศนี้ได้บรรลุธรรมประมาณ 60,000 คน กุลบุตรออกบวชประมาณ 3,500 คน [1]
เนื้อความจากสมันตปาสาทิกาแสดงให้เห็นว่า ในชั้นแรก หรือช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 นั้น คัมภีร์ทางพุทธศาสนาเข้าถึงแผ่นดินสุวรรณภูมิ ในรูปของการถ่ายทอดเชิงมุขปาฐะ ซึ่งเป็นลักษณะของการสืบทอดพระธรรมวินัยในยุคแรก ตราบจนกระทั่งการสังคายนาครั้งที่ 5 จึงมีการจารึกพระธรรมวินัยในเอกสาร คือใบลาน นับแต่นั้นมา
แผ่นดินสุวรรณภูมิในช่วงพุทธศตวรรษที่ 300 - 1800 แบ่งแยกออกเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ ยังนับถือพุทธศาสนาต่างนิกายกัน ทั้งสายอาจาริยาวาท และสายเถรวาท ดังนั้นคัมภีร์พุทธศาสนาในแพร่กลายในดินแดนนี้จึงมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่หลงเหลือถึงปัจจุบันเกี่ยวกับพุทธศาสนาในยุคนั้นมีอยู่กระท่อนกระแท่น
กระนั้นก็ตาม สันนิษฐานจากความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาของอาณาจักรสุธรรมวดี หรือ สะเทิม (Thaton Kingdom) ของชาวมอญทางตอนล่างของพม่า ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับผู้สถาปนาอาณาจักรทวาราวดี และอาณาจักรหริภุญชัย ในภาคกลางของไทย ทำให้พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทรุ่งเรืองมากในทางตอนกลางและตอนเหนือของไทย [2]
ทั้งนี้ คาดว่า คงมีการศึกษาคัมภีร์พุทธศาสนาในระดับหนึ่ง แต่อาจไม่แพร่หลายนัก เนื่องจากคัมภีร์ทางศาสนาเป็นสมบัติของหลวง และมักไม่มอบให้แต่ละรัฐโดยง่าย ดังจะเห็นได้จากกรณีที่พระเจ้ามนูหะ แห่งอาณาจักรอาณาจักรสะเทิม ทรงไม่ยินยอมมอบพระไตรปิฎกฉบับจำลองให้กับพระเจ้าอโนรธามังช่อ แห่งอาณาจักพุกามตามคำร้องขอ จนนำไปสู่สงคราม และการสิ้นสุดของอาณาจักรอาณาจักรสะเทิมด้วยน้ำมืออาณาจักพุกามในปีพ.ศ 514 [3]
หลังฐานการเผยแผ่คัมภีร์ทางพุทธศานาในแผ่นดินไทยเริ่มมีความชัดเจนอีกครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ดังปรากฏว่า พระนางจามเทวีเดินทางมาจากละโว้เมื่อปี พ.ศ. 1205 มาครองเมืองหริภุญไชย พระนางได้นำพระสงฆ์ผู้ทรงพระไตรปิฏกจำนวน 500 รูปติดตามมาด้วย จนทำให้พุทธศาสนาแบบเถรวาทเผยแพร่ในอาณาจักรนี้ [4]
นอกจากนี้ ในตำนานจามเทวีวงศ์บันทึกไว้ว่า เมื่อพระนางจามเทวีทรงครองราชสมบัติแล้ว ทรงสร้างพระอาราม 5 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ อาพัทธาราม ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของเมืองหริภุญไชย สำหรับถวายแด่พระภิกษุที่เดินทางมาจากสีหลประเทศ หรือประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน จึงคาดว่า ในเวลานั้นน่าจะมีการเผยแพร่พระคัมภีร์จากสิงหลมาถึงตอนเหนือของไทยในปัจจุบันแล้ว [5]
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 – 18 ลงมาแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาหรือรจนาพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ ทราบแต่เพียงข้อมูลจากศิลาจารึกบางหลัก ที่บันทึกข้อความจากคัมภีร์ภาษบาลีที่สำคัญบางฉบับ อาทิเช่น จารึกเนินสระบัว พบที่เนินสระบัว ในบริเวณเมืองพระรถ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อหาในจารึกระบุมหาศักราช 683 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 1304 ปรากฏคาถาพระบาลีสามบทในจารึกเป็นบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยตรงกับ เตลกฏาหคาถา หรือ คาถากระทะน้ำมัน ซึ่งแต่งขึ้นที่ลังกา สันนิษฐานว่าราวช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 5 โดยไม่ปรากฏผู้แต่งแต่อย่างใด [6]
ข้อมูลเกี่ยวกับการเผยแผ่พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในไทยเริ่มมีความชัดเจนอีกครั้ง หลังพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา โดยเมื่อราว พ.ศ. 1800 พวกพระภิกษุไทยซึ่งได้ไปบวชปลง ณ เมืองลังกากลับมาตั้งคณะที่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมากษัตริย์ในอาณาจักรสุโขทัยทรงเลื่อมใสโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์ลังกาวงศ์มาประกาศพระศาสนายังตอนเหนือของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การมาถึงของคณะสงฆ์ลังกาในแผ่นดินไทยมิใช่ครั้งแรก เพราะเคยมีการติดต่อกันสมัยหริภุญไชย และทวราวดี แต่การมาครั้งนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดของคณะนิกายอื่นๆ ที่เคยแพร่หลายในดินแดนนี้ ดังจะเห็นได้ว่า พระสงฆ์นิกายในแถบนี้อาจสังวัธยายพระธรรมเป็นภาษาสันสกฤต แต่พวกนิกายลังกาวงศ์สังวัธยายเป็นภาษามคธ จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้น กว่าจะเป็นเอกภาพได้ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ จากการใช้ภาษาสันสกฤต ทำให้คาดว่า คณะสงฆ์เดิมในแถบนี้อาจมีทั้งฝ่ายมหายาน และฝ่ายเถรวาทที่ใช้ภาษาสันสกฤต คือนิกายมูลสรวาสติวาท ดังที่ปรากฏในหลักฐานบันทึกการเดินทางของพระอี้จิง พระเถระชาวจีนที่เดินทางมาพำนักศึกษาภาษาสันสกฤตและพระธรรมในแว่นแคว้นทางตอนใต้ของไทย (หรือแถบมลายู) ก่อนเดินทางไปศึกษาพระธรรมในประเทศอินเดียเมื่อศตวรรษที่ 6
ขณะเดียวกัน ในภาคเหนือของไทย หลังจากที่พญามังรายแห่งอาณาจักรล้านนา ทรงผนวกอาณาจักรหริภุญชัยในปีพ.ศ. 1839 ได้ทรงรับพุทธศาสนาเถรวาทเข้าไว้ในเวลาเดียวกัน ต่อจากนั้นพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเฟื่องฟูอย่างยิ่งในดินแดนล้านนา โดยได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพญากือนา ที่ทรงนิมนต์พระสุมนเถระจากสุโขทัยมาประกาศพระศาสนาในล้านนาเมื่อพ.ศ. 1912 ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน พระสงฆ์ชาวล้านนาหลายรูปได้เดินทางไปศึกษาที่ลังกาในราวพ.ศ. 1967 และได้นิมนต์พระเถระชาวลังกามาส่งเสริมนิกายเถรวาทสายลังกาวงศ์จนรุ่งเรือง [7]
การเผยแพร่พระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาในล้านนา และในไทยถึงจุดเฟื่องฟูที่สุดในรัชสมัยของพญาติโลกราช โดยในพ.ศ. 2020 ได้ทรงจัดสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก ณ จัดมหาโพธาราม หรือวัดเจ็ดยอด ประกอบกับช่วงเวลานั้นมีพระเถระที่เชี่ยวชาญวรรณคดีทางศาสนามากมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้จนถึงรัชสมัยพญาแก้ว หรือพระเมืองแก้ว (พ.ศ. 2039 - 2069) การเผยแผ่พระศาสนาผ่านการรจนาคัมภีร์ยังรุ่งเรืองยิ่งนัก มีพระเถระมากมายที่รจนาพระคัมภีร์ต่างๆ ที่ไม่เพียงยังใช้กันในระดับเปรียญธรรมทุกวันนี้เท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับในวงการภาษาบาลีทั่วโลกอีกด้วย [8]
อาณาจักรล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าในพ.ศ. 2101 แต่การรจนาพระคัมภีร์ยังคงมีต่อไปตราบจนกระทั่งหลังพุทธศตวรรษที่ 2200 ลงมา เกิดความไม่สงบในล้านนาบ่อยครั้ง จนทำให้ขาดผู้อุปถัมภ์พระศาสนา และขาดพระเถระผู้ทรงภูมิ ทำการรจนาคัมภีร์ภาษาบาลีขาดช่วง แต่ยังคงมีการแต่งวรรณคดีทางพุทธศาสนาเรื่อยมาในภาษาท้องถิ่น อีกทั้งล้านนายังได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากพม่า ที่มีความนิยมรจนาพระคัมภีร์อยู่แล้ว ทำให้ศาสนาพุทธมิได้ซบเซา เพียงแต่ขาดผู้มีความรู้ที่จะรจนา หรือประพันธ์วรรณกรรมภาษาบาลี
ทางภาคกลางของไทยอาณาจักรสุโขทัยมีการรจนาพระคัมภีร์บาลีไม่มากนัก ปัจจุบันพบเพียงคัมภีร์เดียวคือรัตนพิมพวงศ์ แต่งขึ้นในจ.ศ. 791 หรือ พ.ศ. 1972 หลังจากนั้นอาณาจักรสุโขทัยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีความสนใจเกี่ยวกับพระคัมภีร์ภาษาบาลีน้อยมากเช่นกัน ทำให้พบวรรณคดีประเภทนี้เพียงไม่กี่เรื่อง [9]
จนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งนับเป็นการรวบรวมวรรณคดีบาลีครั้งสำคัญ และมีการแต่งพระคัมภีร์เพิ่มเติมจำนวนมากโดยพระเถระชาวสยามในครั้งนั้น ตราบจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลี เนื่องจากทรงเคยผนวชเป็นเวลานาน กอปรกับได้มีการติดต่อกับชาติตะวันตกที่เข้ายึดครองอาณานิคมในอินเดีย ถิ่นกำเนิดของภาษาบาลี ทำให้การศึกษาและการรจนาผลงานทางพุทธศาสนาในภาษาบาลีเฟื่องฟูอีกครั้ง จนถึงปัจจุบัน
เมนูนำทาง
คัมภีร์ทางศาสนาพุทธในประเทศไทย คัมภีร์ทางพุทธศาสนาในประเทศไทยใกล้เคียง
คัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์นอกสารบบ คัมภีร์ฮีบรู คัมภีร์ทางศาสนาพุทธในประเทศไทย คัมภีร์ คัมภีร์หยุดกระสุน คัมภีร์มรณะ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น คัมภีร์ลับเจ้านินจา คัมภีร์กุรอานแหล่งที่มา
WikiPedia: คัมภีร์ทางศาสนาพุทธในประเทศไทย