เมนูนำทาง
ฉันทลักษณ์_(กวีนิพนธ์ไทย) ลักษณะบังคับหมายถึง ลักษณะบังคับที่มีในคำประพันธ์ไทย ได้แก่
คณะทั้ง 8 นั้น คือ ย ร ต ภ ช ส ม น ชื่อคณะทั้ง 8 นี้ เป็นอักษรที่ย่อมาจากคำเต็ม คือ
ย มาจาก ยชมาน แปลว่า พราหมณ์บูชายัญร มาจาก รวิ แปลว่า พระอาทิตย์ต มาจาก โตย แปลว่า น้ำภ มาจาก ภูมิ แปลว่า ดินช มาจาก ชลน แปลว่า ไฟส มาจาก โสม แปลว่า พระจันทร์ม มาจาก มารุต แปลว่า ลมน มาจาก นภ แปลว่า ฟ้ากำชัย[1] ได้แต่งคำคล้องจองไว้สำหรับจำ คณะ ไว้ดังนี้
ย ยะยิ้มยวนร รวนฤดีส สุรภีภ ภัสสระช ชโลมและน แนะเกะกะต ตาไปละม มาดีดีเมื่อแยกพยางค์แล้ว จะได้ ครุ-ลหุ เต็มตามคณะทั้ง 8 (ชื่อคณะนี้ ไม่สู้จำเป็นในการเรียนฉันทลักษณ์ไทยนัก เพราะมุ่งจำครุ-ลหุกันมากกว่าจำชื่อคณะ เท่าที่จัดมาให้ดูเพื่อประดับความรู้เท่านั้น)
พยางค์ คือจังหวะเสียง ที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่งๆ หรือหน่วยเสียง ที่ประกอบด้วยสระตัวเดียว จะมีความหมาย หรือไม่ก็ตาม คำที่ใช้บรรจุในบทร้อยกรองต่างๆ นั้น ล้วนหมายถึง คำพยางค์ ทั้งสิ้น คำพยางค์นี้ ถ้ามีเสียงเป็น ลหุ จะรวม 2 พยางค์ เป็นคำหนึ่ง หรือหน่วยหนึ่ง ในการแต่งร้อยกรองก็ได้ แต่ถ้ามี เสียงเป็น ครุ จะรวมกันไม่ได้ ต้องใช้พยางค์ละคำ
สัมผัส คือลักษณะที่บังคับให้ใช้คำคล้องจองกัน คำที่คล้องจองกันนั้น หมายถึง คำที่ใช้สระ และมาตราสะกดอย่างเดียวกัน แต่ต้องไม่ซ้ำอักษร หรือซ้ำเสียงกัน (สระใอ, ไอ อนุญาตให้ใช้สัมผัสกับ อัย ได้) มี 2 ชนิด คือ สัมผัสนอกและสัมผัสใน
1. สัมผัสนอก ได้แก่คำที่บังคับให้คล้องจองกัน ในระหว่างวรรคหนึ่ง กับอีกวรรคหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งที่ต่างๆ กัน ตามชนิดของคำประพันธ์นั้นๆ สัมผัสนอกนี้ เป็นสัมผัสบังคับ ซึ่งจำเป็นต้องมี จะขาดไม่ได้ ดังตัวอย่าง ที่โยงเส้นไว้ให้ดู เช่นโคลงแท้ไทยใช่เผ่าผู้ | แผ่มหิทธิ์ | |
รักสงบระงับจิต | ประจักษ์แจ้ง | |
ไป่รานไป่รุกคิด | คดประทุษ ใครเลย | |
เว้นแต่ชาติใดแกล้ง | กลั่นร้ายรานไทย |
มิใช่ชายดอกนะจะดีเลิศ | หญิงประเสริฐเลิศดีก็มีถม | |
ชายเป็นปราชญ์หญิงฉลาดหลักแหลมคม | มีให้ชมทั่วไปในธาตรี |
บางน้ำจืดชื่อบางเป็นทางคิด | ใครมีจิตจืดนักมักหมองหมาง | |
คนใจจืดชืดชื้อเหมือนชื่อบาง | ควรตีห่างเหินกันจนวันตาย |
อันน้ำจืดรสสนิทกว่าจิตมืด | ถึงเย็นชืดลิ้มรสหมดกระหาย | |
แต่ใจจืดรสระทมขมมิวาย | มักทำลายมิตรภาพให้ราบเตียน | |
— จาก นิราศวัดสิงห์ |
แลลิงลิงเล่นล้อ | ลางลิง | |
พาเพื่อนเพ่นพ่านพิง | พวกพ้อง | |
ตื่นเต้นไต่ต่อติง | เตี้ยต่ำ | |
ก่นกู่กันกึกก้อง | เกาะเกี้ยวกวนกัน |
ศึกษาสำเร็จรู้ | ลีลา กลอนแฮ | |
ระลึกพระคุณครูบา | บ่มไว้ | |
อุโฆษคุณาภา | เพ็ญพิพัฒน์ | |
นิเทศธรณินให้ | หื่นซ้องสาธุการ |
อักษรต่ำ 14 ตัว | อักษรสูง 11 ตัว |
---|---|
ค ฆ | ข |
ช ฌ | ฉ |
ซ (ทร-ซ) | ศ ษ ส |
ฑ ฒ ท ธ | ฐ ถ |
พ ภ | ผ |
ฟ | ฝ |
ฮ | ห |
คูนแคขิงข่าขึ้น | เคียงคาง | |
แฟงฟักไฟฝ่อฝาง | ฝิ่นฝ้าย | |
ซางไทรโศกสนสาง | ซ่อนซุ่ม | |
ทิ้งถ่อนทุยท่อมท้าย | เถื่อนท้องแถวถิน |
สัมผัสในดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับ จึงมิได้มีแบบกำหนดมาแต่โบราณ แต่ถ้าไม่มี ก็ขาดรสไพเราะ ซึ่งเป็นยอดของรส ในเชิงฉันทลักษณ์ เพราะฉะนั้น คำประพันธ์ที่ดี จะขาดสัมผัสในเสียมิได้ เหมือนเกสร เป็นเครื่องเชิดชู ความสวยงามของบุปผชาติฉะนั้น
คำนำ คือคำที่ใช้กล่าวขึ้นต้น สำหรับเป็นบทนำ ในคำประพันธ์ เป็นคำเดียวบ้าง เป็นวลีบ้าง เช่น เมื่อนั้น บัดนั้น โฉมเฉลา น้องเอ๋ยน้องรัก รถเอ๋ยรถทรง ครานั้น สักวา ฯลฯ บางทีก็ใช้คำนามตรงๆ เหมือนอย่าง นามอาลปนะ เช่น สุริยา พระองค์ ภมร ดวงจันทร์ ฯลฯ ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้
ปทุมา | โสภาหมดจดสดสี | |
เกิดในใต้ตมวารี | แต่ไร้ราคีเปือกตม | |
— ฯลฯ |
ภมร | สุนทรมธุรสถ้อยหรรษา | |
กลั่นกล่าวเร้าดวงวิญญาณ์ | วาจาสิ้นลมคมใน | |
— ฯลฯ |
คำสร้อย คือคำที่ใช้สำหรับลงท้ายบทหรือท้ายบาทของคำประพันธ์ ซึ่งตามธรรมดา มีคำซึ่งมีความหมายอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ยังไม่ครบจำนวนคำ ตามที่บัญญัติไว้ ในคำประพันธ์ จึงต้องเติมสร้อย เพื่อให้มีคำ ครบตามจำนวน และเป็นการเพิ่มสำเนียงให้ไพเราะ ในการอ่านด้วย คำสร้อยนี้ จะเป็นคำนาม คำวิเศษณ์ คำกริยานุเคราะห์ คำสันธาน หรือคำอุทาน ก็ได้ แต่ถ้าเป็นคำอุทาน ที่มีรูปวรรณยุกต์ ต้องตัดรูปวรรณยุกต์ออก และไม่ต้องมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ มิฉะนั้น จะขัดต่อการอ่านทำนองเสนาะ และในการใช้นั้น ควรเลือกคำที่ท่านวาง เป็นแบบฉบับไว้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
คำสร้อยนี้ ต้องเป็นคำเป็น จะใช้คำตายไม่ได้ และใช้เฉพาะบทประพันธ์ ชนิดโคลง และร่าย เท่านั้น
เมนูนำทาง
ฉันทลักษณ์_(กวีนิพนธ์ไทย) ลักษณะบังคับใกล้เคียง
ฉันทลักษณ์ (กวีนิพนธ์ไทย) ฉันทวิชช์ ธนะเสวี ฉันท์ ฉันทนา กิติยพันธ์ ฉันทนา ธาราจันทร์ ฉันท์ ขำวิไล ฉันทามติแหล่งที่มา
WikiPedia: ฉันทลักษณ์_(กวีนิพนธ์ไทย) http://klon.thailandschool.org/category/%E0%B8%89%... http://thaiarc.tu.ac.th/poetry/poemt.html