เป้าหมายของอัศฮาบกีซาในทัศนะของอิสลาม ของ ชาวกีซา

เกี่ยวกับเรื่องบุคคลที่รวมอยู่ใน "อะฮ์ลุลบัยต์" ที่โองการตัฏฮีรกล่าวถึงนั้นมีความเห็นแตกต่างกันในหมู่นักรายงาน บ้างก็หมายรวมถึงบรรดาภรรยาของท่านศาดามุฮัมหมัด[6] บ้างก็หมายรวมถึงบรรดาญาติสนิทของท่าน กล่าวคือ ครอบครัวของท่านอับบาส ครอบครัวของท่านอะกีล ครอบครัวของท่านญะอ์ฟัร ครอบครัวของท่านอาลี[7]  แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาเชื่อว่า "อะฮ์ลุลบัยต์" ในโองการนี้ หมายถึง "อัศฮาบกีซา" เท่านั้น

จำนวนของฮะดีษต่าง ๆ ที่มีเข้ามาจากกลุ่มนี้มีมากว่า 70 คน และมีกว่า 40 ฮะดีษที่รายงานโดยอะฮ์ลิซุนนะฮ์ ซึ่งรายงานมาจาก อุมมุสะละมะฮ์ อาอิอะฮ์  อะบูสะอีด คุดรี อิบนุอับบาส อับดุลลอฮ์ บิน ญะอ์ฟัร อาลี บิน อะบีฏอลิบ ฮะซัน บิน อาลี และคนอื่น ๆ และอีกกว่า 30 ฮะดีษที่รายงานจากนักรายงานของชีอะฮ์ ซึ่งรายงานจาก อาลี บิน อะบีฏอลิบ สัจญาด  บาเกร ซอดิก ริฎอ (บรรดาอิมามของชีอะฮ์) อุมมุสะละมะฮ์ อะบูซัรฆอฟฟารี และอีกหลายท่าน[8] ตามทัศนะของฏอบาฏอบาอีและฏอบัรซีแล้ว เป้าหมายของ พระประสงค์ (อิรอดะฮ์) ในโองการนี้ เป็นพระประสงค์ด้านนัย (อิรอดะฮ์ตักวีนี) เนื่องจากว่าพระประสงค์ที่เป็นบทบัญญัติ (อิรอดะฮ์ตัชรี) นั้น จะหมายรวมถึงมนุษย์ทุกคนไม่ได้จำเพาะสำหรับใครเป็นพิเศษ[9]

สิ่งที่เป็นเหตุให้นักอรรถาธิบายบางท่านได้อรรถาธิบาย "อะฮ์ลุลบัยต์" ว่าหมายถึงบรรดาภรรยาของท่านศาสดา ก็เนื่องจากต้นโองการที่กล่าวถึงบรรดาภรรยาของท่านศาสดา และคำนี้ก็ปรากฏอยู่ระหว่างโองการที่ยังคงพูดถึงบรรดาภรรยาของท่านศาสดา แต่ท่านฏอบาฏอบาอี กล่าวว่า รายงานต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเรื่องนี้นั้นบ่งชี้ว่าโองการนี้ถูกประทานลงมาแยกต่างหาก และท่านศาสดาได้รับสั่งให้บันทึกไว้ระหว่างโองการต่าง ๆ นี้ด้วยตัวท่านเองหรืออาจจะมีการนำมาใส่ไว้ระหว่างโองการต่าง ๆ นี้ในช่วงการรวบรวมกุรอานภายหลังจากการเสียชีวิตของท่านศาสดา [10] การเปลี่ยนคำสรรพนามคู่สนทนาจากเพศหญิงเป็นเพศชายก็เป็นอีกเหตุผลที่ยืนยันถึงความหมายนี้

ฟัครุรรอซี เป็นนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ของชาวซุนนี ได้เขียนไว้ในตัฟซีรของเขาว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเครือญาติที่สนิทที่สุดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์นั้นคือ ฟาติมะฮ์ อาลี ฮะซันและฮุเซน ดังนั้น อาลิอะบา จึงหมายถึงพวกท่านอย่างแน่นอน และเจ้าของหนังสือกัชชาฟยังได้รายงานไว้อีกว่า เมื่อโองการนี้ถูกประทานลงมา ก็มีคนถามว่า โอ้ท่านศาสนทูต เครื่อญาติสนิทของท่านที่เป็นข้อบังคับให้พวกเรามอบความรักให้นั้นหมายถึงใคร? ท่านศาสดาดำรัสว่า หมายถึง อาลี ฟาติมะฮ์ และบุตรทั้งสองของเขา ดังนั้นจึงยืนยันได้ว่า สี่ท่านนี้คือญาติสนิทของท่านศาสดา เมื่อเป็นที่ยืนยันแล้ว ดังนั้นจึงเป็นข้อบังคับที่ต้องให้เกียรติพวกท่าน (อาลี ฟาติมะฮ์ ฮะซัน ฮุเซน) เป็นพิเศษ และการที่ให้กล่าวซะละวาต (อัลลอฮุมมะซ็อลลิอาลามุฮัมหมัด วะอาลิมมุฮัมหมัด ไว้ช่วงท้ายการกล่าวตะชะฮ์ฮุด นั้นไม่ได้หมายถึงสิทธิของผู้ใดที่นอกเหนือไปจากพวกท่านนี้ ดังนั้นทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงว่า การมอบความรักให้กับพวกท่านนั้นเป็นข้อบังคับ (วาญิบ) นั่นเอง[11]

ญารุลลอฮ์ ซะมัคชะรี เป็นนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ของซุนนี กล่าวถึงความประเสริฐชอง อัศฮาบกีซา ไว้ใน ตัฟซีรกัชชาฟ (บุคคลที่อยู่ร่วมกับท่านศาสดาในวันมุบาฮะละฮ์)[12][13]

ทัศนะของชีอะฮ์

อัศฮาบกีซา หรือ อาลิกีซา เป็นตำแหน่งที่ชาวชีอะฮ์ใช้เรียกท่านศาสดามุฮัมหมัด อะลี ฟาติมะฮ์ ฮะซัน และฮุเซน โดยกล่าวขานพวกท่านว่า ห้าท่านใต้เสื้อคลุม โดยยึดเอาตามรายงานหนึ่งที่ถูกรู้จักกันว่า ฮะดีษกีซา ซึ่งมีรายงานไว้อย่างมากมายในแหล่งอ้างอิงฮะดีษของทั้งสองนิกาย