เมนูนำทาง
ซูเปอร์แมน อิทธิพลต่อวัฒนธรรมซูเปอร์แมนได้กลายมาเป็นทั้งสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม [98][99] และผลงานการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรเรื่องแรกของชาวอเมริกา ความชื่นชอบของผู้คนที่มีต่อเรื่องราวการผจญภัยและตัวของซูเปอร์แมนส่งผลให้ซูเปอร์แมนมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในสังคมเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากชื่อของซูเปอร์แมนที่มักจะเข้าไปอยู่ในผลงานต่างๆของบรรดานักดนตรี, ศิลปินตลก และ นักประพันธ์ทั้งหลายคำว่า คริปโตไนท์, เบรนิแอค และ ไปซาร์โร ได้กลายมาเป็นวลีที่ผู้คนมักใช้พูดเปรียบเทียบโดยมีความหมายเช่นเดียวกับวลีที่ว่า ข้อเท้าของอคิลิส ซึ่งมีความหมายว่าจุดอ่อน[100]หรือของแสลง[101] เช่นเดียวกับประโยคที่ว่า "ฉันไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ" หรือ กลับกันว่า "คุณไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ" ซึ่งกลายมาเป็น สำนวน ที่มีความหมายว่าไม่ได้มีความสามารถรอบด้านหรือเก่งกาจไปซะทุกอย่าง[102][103][104]
ซูเปอร์แมนถือว่าเป็นตัวละครที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการออกแบบตัวละครซูเปอร์ฮีโรในเรื่องอื่นๆ [105][106] เช่น แบทแมน ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครตัวแรกที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากซูเปอร์แมน โดยบ๊อบ เคน ผู้สร้างแบทแมน เคยกล่าวต่อ วิน ซัลลิแวน เอาไว้ว่า “จำนวนเงินพวกนั้น[ที่ชีเกลและชูสเตอร์ได้รับจากผลงานเรื่องซูเปอร์แมน]คุณจะได้มาแค่วันจันทร์วันเดียว”[107] เช่นเดียวกับวิคเตอร์ ฟอกซ์ สมุห์บัญชีของดีซีใขณะนั้นได้ทำการเสนอความคิดเห็นต่อ วิล ไอส์เนอร์ คณะกรรมการของ ดีซี ว่าควรจะสร้างตัวละครที่มีลักษณะใกล้เคียง กับซูเปอร์แมน ซึ่งตัวละครนั้นก็คือ วันเดอร์ วูแมน โดยวันเดอร์ วูแมน ทำการตีพิมพ์ฉบับแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 แต่หลังจากที่ฟอกซ์แพ้คดีความในการครอบครองลิขสิทธิ์ของตัวละครต่อทางดีซี[108] ฟอกซ์จึงต้องยุติบทบาททั้งหมดที่เขามีต่อวันเดอร์ วูแมน จนกระทั่งภายหลังฟอกซ์จึงมาประสบความสำเร็จกับตัวละครที่มีชื่อว่า บลู บีทเทิล ส่วน กัปตันมาร์เวล ตัวละครของนิตยสารฟอว์เซทท์ คอมิคส์ ทำการตีพิมพ์ในปี ค.ศ 1940 ได้กลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของซูเปอร์แมนในการแย่งความนิยมตลอดทศวรรษ 1940 โดยในช่วงนั้นได้มีการฟ้องร้องกันไปมาระหว่าง 2 สำนักพิมพ์ จนกระทั่งทางสำนักพิมพ์ ฟอว์เซทท์ยอมรับข้อเสนอจากทางดีซีในปี ค.ศ.1953 โดยทางฟอว์เซทท์ต้องยุติการพิมพ์ผลงานทั้งหมดของกัปตันมาร์เวล[109] ในยุคสมัยปัจจุบันหนังสือการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโรนับได้ว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากในวงการหนังสือการ์ตูนของอเมริกา [110] ซึ่งมีตัวละครนับพันๆตัวได้ถูกสร้างขึ้นมาตามรอยของซูเปอร์แมน[111]
ซูเปอร์แมนกลายมาเป็นหนังสือการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยระยะเวลาการวางจำหน่ายอยู่ที่ 3 เดือนต่อ 1 ฉบับ โดยในปี ค.ศ. 1940 มีการนำเอาซูเปอร์แมนเข้ามาแสดงใน มาซี่ พาเหรด (ขบวนพาเหรดที่ถูกจัดขึ้นปีละครั้งของชาวอเมริกา)เป็นครั้งแรก[112] ความนิยมต่อซูเปอร์แมนนั้นยังขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีค.ศ. 1942 ด้วยยอดจำหน่ายของนิตยสารของซูเปอร์แมนทั้ง 3 ฉบับที่วางจำหน่ายอยู่ในขณะนั้น สามารถทำเงินรวมกันได้มากกว่า 1.5 ล้านเหรียญ ส่งผลให้นิตยสาร ไทม์ได้เขียนบทความถึงกับเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่า “กรมทหารเรือสหรัฐได้ประกาศว่าหนังสือการ์ตูนเรื่องซูเปอร์แมนนั้นจะต้องถูกจัดอยู่ในหมวดอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่าทหารเรือที่ประจำการอยู่ในมิดเวย์ อิสแลนด์” [113]หลังจากนั้นไม่นานทางดีซี ได้ทำการจดลิขสิทธิ์ต่อตัวละครทำให้ซูเปอร์แมนกลายมาเป็นแบรนด์ทางการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล ในปีค.ศ. 1939 ได้ปรากฏสิ้นค้าชิ้นแรกที่มีภาพของซูเปอร์แมนนั้นก็คือ ป้ายประกาศชื่อสมาชิกของชมรม ซูเปอร์เม็นออฟอเมริกา คลับ และในปีค.ศ 1940 มีสิ้นค้าและผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่เริ่มนำเอาภาพของซูเปอร์แมนไปใช้ในการตลาด เช่น จิ๊กซอว์, ตุ๊กตากระดาษ, หมากฝรั่ง และการ์ดเกมส์ทั้งหลาย อาจจะรวมถึงฟิกเกอร์ประเภทต่างๆด้วย ความนิยมต่อสินค้าทั้งหลายของซูเปอร์แมนได้ขยายตัวออกไปหลังจากที่ซูเปอร์แมนถูกซื้อลิขสิทธ์ไปสร้างเป็นบทภาพยนตร์ ละครทางวิทยุและโทรทัศน์ โดยเลส แดเนียลส์ได้เขียนบทความถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้เอาไว้ว่า “มันคือจุดเริ่มต้นของรากฐานแห่งความยิ่งใหญ่ของวงการบันเทิง ภายในสิบปีข้างหน้าซูเปอร์แมนอาจจะกลายมาเป็น ‘สิ่งสำคัญของวงการบันเทิง’ ก็เป็นได้”[114] ในปี 2006 หลังจากที่ วอร์เนอร์บราเธอร์ส ได้ทำการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง ซูเปอร์แมน รีเทิร์น ได้มีการทำสัญญาระหว่างวอร์เนอร์ บราเธอร์สและเบอร์เกอร์คิง,[115] โดยทางเบอร์เกอร์คิงสามารถนำตัวละครไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของบริษัท
ความนิยมต่อซูเปอร์แมนนั้นมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะสัญลักษณ์ตัว S ที่เป็นเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของซูเปอร์แมน ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ที่มีลักษณะเป็นตัว S สีแดงเข้มวางอยู่เหนือพื้นหลังสีทอง ได้ถูกนำไปใช้วงการแฟชั่นอย่างแพร่หลาย[116][117]
สัญลักษณ์ตัว “S” มักจะถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของซูเปอร์แมนในสื่อต่างๆ [ต้องการอ้างอิง] โดยมักจะปรากฏอยู่ในฉากเปิดเรื่องหรือไม่ก็ฉากปิดท้ายของภาพยนตร์หรือละครทางโทรทัศน์[ต้องการอ้างอิง]
ซูเปอร์แมนเป็นอีกตัวละครหนึ่งจากหนังสือการ์ตูนที่มักถูกนำไปดัดแปลงผ่านรูปแบบสื่อต่างๆมากมาย เนื่องจากซูเปอร์แมนคือตัวละครที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมของอเมริกา[118] และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง[119] โดยสังเกตได้จากรายได้ทางการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล[114] จึงเป็นเหตุผลให้มีการนำซูเปอร์แมนไปสร้างเป็นละครทางวิทยุ, โทรทัศน์ และจึงเป็นเหตุผลให้มีการนำซูเปอร์แมนไปสร้างเป็นละครทางวิทยุ, โทรทัศน์ และภาพยนตร์, รวมถึงวิดีโอ เกม โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยรวมถึงวิดีโอ เกม โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
ผลงานชิ้นแรกของซูเปอร์แมนที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อนั้นก็คือ การ์ตูนช่องในหนังสือพิมพ์รายวัน, ที่ทำการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ.1939 จนถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1966 จะสังเกตได้ว่า ชีเกลและชูสเตอร์ได้นำเอาเรื่องราวในตอนแรกของการ์ตูนช่องมาอธิบายที่มาที่ไปของซูเปอร์แมน เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับดาวคริปตันรวมถึง จอร์-เอลบิดาผู้ให้กำเนิดซูเปอร์แมน ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงในหนังสือการ์ตูน[70] จนกระทั่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1940 ได้มีการเปิดตัวผลงานซีรีส์ทางวิทยุเรื่องแรกของซูเปอร์แมนที่มีชื่อว่า เดอะ แอดเวนเจอร์ออฟซูเปอร์แมน ซึ่งได้ บัด คอลล์เยอร์ มาเป็นผู้ที่พากย์เสียงซูเปอร์แมน ซีรีส์ชุดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากโดยได้ออกอากาศจนถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951 บัด คอลล์เยอร์นั้นยังเป็นผู้ที่ให้เสียงซูเปอร์แมนในผลงานซีรีส์การ์ตูนที่มีชื่อว่า “ซูเปอร์แมน”อนิเมท การ์ตูน ผลงานของ เฟลิสเชอร์ สตูดิโอ โดยเฟมัส สตูดิโอ จะเป็นผู้จัดจำหน่ายในฉบับภาพยนตร์ ซีรีส์ชุดนี้มีจำนวนตอนทั้งหมด 7 ตอนด้วยกันซึ่งทำการผลิตอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1941 และค.ศ.1943 ในปีค.ศ. 1948 ได้มีการทำภาพยนตร์เกี่ยวกับ ซูเปอร์แมน อีกครั้ง โดยได้ เคิร์ก อลิน มารับบทซูเปอร์แมนซึ่งเคิร์ก อลิน นั้นคือผู้ที่แสดงเป็นซูเปอร์แมนคนแรกในผลงานภาพยนตร์เฟรนไชด์ของซูเปอร์แมน จากนั้นภาพยนตร์เรื่องที่2 ของซูเปอร์แมนที่มีชื่อว่า อะตอมแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน, ได้ทำการออกฉายในปีค.ศ.1950 [120]
ในปีค.ศ. 1951 ได้มีการจัดทำซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ชื่อว่า แอดเวนเจอร์ออฟซูเปอร์แมน นำแสดงโดย จอร์จ รีฟส์ โดยในตอนที่ 25 และ 26 ได้ถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่ชื่อว่า ซูเปอร์แมน แอนด์ เดอะ โมล์ เม็น ซึ่งผลงานซีรีส์ชุดนี้ออกอากาศในปี ค.ศ. 1952 – ค.ศ.1958 มีจำนวนตอนทั้งสิ้น 104 ตอน ส่วนผลงานเรื่องถัดมาของซูเปอร์แมนเกิดขึ้นในปีค.ศ.1966 ในรูปแบบของละครเพลงที่ใช้ชื่อว่า นั่นคือนก…นั่นคือเครื่องบิน…นั่นมันซูเปอร์แมนโดยได้จัดแสดงในโรงละครบรอดเวย์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี ส่งผลให้รอบการแสดงนั้นสูงถึง 129 รอบ[121]หลังจากนั้น ผลงานเพลง ได้ถูกบันทึกในรูปแบบของแผ่นเสียงและออกจัดจำหน่ายในเวลาถัดมา [122] อย่างไรก็ตามในปีค.ศ.1975 ได้มีการนำผลงานชุดนี้กลับมาทำใหม่และออกอากาศทางโทรทัศน์ ซูเปอร์แมนได้ถูกนำมาทำเป็นแอนิเมชั่นอีกครั้งซึ่งครั้งนี้เป็นผลงานที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ในซีรีส์ที่ชื่อว่าเดอะ นิว แอดเวนเจอร์ออฟซูเปอร์แมน ซีรีส์ชุดนี้มีจำนวนตอนทั้งสิ้น 68 ตอน และทำการออกอากาศช่วงปีค.ศ. 1966 ถึง ค.ศ.1969 โดยได้ บัด คอลล์เยอร์ กลับมาให้เสียงเป็นซูเปอร์แมนอีกครั้ง หลังจากนั้นในช่วงค.ศ.1973 ถึง ค.ศ.1984 สถานีโทรทัศน์ เอบีซี ได้ทำการออกอากาศซีรีส์แอนิเมชั่นของซูเปอร์แมนที่มีชื่อว่า ซูเปอร์ เฟรนด์ ซึ่งเป็นผลงานของ ฮันน่า-บาร์เบร่า สตูดิโอ[123]
ซูเปอร์แมนได้หวนกลับคืนสู่แผ่นฟิล์มอีกครั้งในปีค.ศ.1978 โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ซูเปอร์แมน กำกับโดย ริชาร์ด ดอนเนอร์ และได้ คริสโตเฟอร์ รีฟ มาสวมบทเป็นซูเปอร์แมน ภาพยนตร์ชุดนี้ยังถูกนำมาทำต่ออีกสามภาคได้แก่ ซูเปอร์แมน II (ค.ศ.1980), ซูเปอร์แมน III (ค.ศ.1983) and ซูเปอร์แมน IV: เดอะ เควสท์ ฟอร์ พีซ (ค.ศ.1987).[124] ในปีค.ศ. 1988 ได้มีการนำซูเปอร์แมนมาทำเป็นแอนิเมชั่นเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์อีกครั้งโดย รูบี้ สเปียร์ โปรดักชั่น โดยใช้ชื่อเรื่องว่า ซูเปอร์แมน,[125] รวมถึง ได้มีการสร้างซีรีส์คนแสดงเรื่อง ซูเปอร์บอย ที่ทำการออกอากาศตั้งแต่ ค.ศ. 1988 จนถึง ค.ศ.1992 [126] จนกระทั่งปีค.ศ. 1993 ซีรีส์เรื่อง ลูอิส & คลาร์ก : เดอะ นิว แอดเวนเจอร์ออฟซูเปอร์แมน ได้ทำการออกอากาศผ่านเครือข่ายของสถานีโทรทัศน์เอบีซี นำแสดงโดย ดีน เคน รับบท ซูเปอร์แมนและ เทริ แฮทเชอร์ รับบท ลูอิส เลน โดยซีรีส์ชุดนี้ออกอากาศจนถึงปีค.ศ. 1997 ส่วนผลงานของ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส แอนิเมชั่น ที่มีชื่อว่า ซูเปอร์แมน: เดอะ แอนิเมท ซีรีส์ ได้ออกอากาศผ่านช่อง เดอะ ดับเบิ้ลยู บี ตั้งแต่ค.ศ. 1996 จนถึง ค.ศ. 2000 [127]
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 ได้มีการนำเสนอผลงานภาพยนตร์และซีรีส์ของซูเปอร์แมนเช่น ในปีค.ศ.2001 ซีรีส์ชุด สมอลล์วิลล์ ได้ทำการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เดอะ ดับเบิ้ลยู บี ซึ่งเรื่องราวจะเน้นไปที่เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับ คลาร์ก เคนต์ ในสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นก่อนที่จะกลายมาเป็นซูเปอร์แมนในภายหลัง โดยได้ ทอม เวลลิ่ง มารับบท คลาร์ก ซี่รีย์ชุดนี้ทำการออกอากาศถึง 10 ซีซั่น โดยซีซั่นสุดท้ายจบลงเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2011 ส่วนผลงานทางภาพยนตร์ของซูเปอร์แมนนั้น ในปีค.ศ. 2006 ได้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง ซูเปอร์แมน รีเทิร์น กำกับโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ และได้ แบรนดอน เราธ์ มาแสดงเป็นซูเปอร์แมน โดยหยิบยกเรื่องราวจากซูเปอร์แมน 2 ภาคแรกที่ คริสโตเฟอร์ รีฟ เคยแสดงนำมาปรับปรุงใหม่ ส่วนในปีค.ศ. 2007 ชื่อของ ทอม เวลลิ่ง เคยถูกเสนอให้เข้ามารับบทเป็นซูเปอร์แมนอีกครั้งในผลงานที่มีชื่อว่า จัสติสลีก: มอร์ทัล ซึ่งจะกำกับโดย จอร์จ มิลเลอร์.[128] โดยจะเป็นเรื่องราวของการรวมกันระหว่าง ซูเปอร์แมน, แบทแมน, วันเดอร์ วูแมน, และสมาชิกคนอื่นๆจากผลงานหนังสือการ์ตูนของ ดีซีคอมิกส์ ที่มีชื่อว่า จัสติสลีกออฟอเมริกา แต่ถึงอย่างนั้นโครงการนี้ก็ไม่มีแผนงานที่แน่นอนทำให้โครงการนี้ต้องล้มเลิกไปในท้ายที่สุดแม้ว่าจะได้ตัว ดี เจ โคโตรน่า เข้ามาคัดตัวเป็นซูเปอร์แมนแล้วก็ตาม[128]จนกระทั่งในปีค.ศ. 2010 มีการประกาศสร้างผลงานชุดใหม่ของซูเปอร์แมน หลังจากที่ผลงานเรื่อง เดอะ ฮิททอรี่ออฟอินวัลเนอร์เรบิลิตี้ ของ เดวิด บาร์ คัทซ์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เจอร์รี่ ซีเกล ผู้สร้างสรรค์ซูเปอร์แมน ได้ออกฉายที่โรงภาพยนตร์ ซินซินนาติ เพลย์เฮาส์ อิน เดอะ พาร์ค [129][130] ในครั้งนี้ภาพยนตร์ชุดใหม่ของซูเปอร์แมนจะมีชื่อว่า เดอะ แมนออฟสตีล จะมีกำหนดการออกฉายในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ.2013 ซึ่งกำกับโดย แซค ซไนเดอร์ และได้เฮนรี่ แควิลล์ มารับบทซูเปอร์แมน [131]ส่วนเนื้อหาในภาพยนตร์นั้นทางวอร์เนอร์ บราเธอร์จะทำการรีบูทเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมด ให้เหมือนกับ แบทแมน บีกินส์ ภาพยนตร์ของแบทแมนในปี ค.ศ. 2005 .[132] ซึ่ง แควิลล์ ผู้ที่มารับบทซูเปอร์แมนในครั้งนี้นั้นเคยเข้ารับการคัดเลือกเพื่อที่จะสวมบทเป็นซูเปอร์แมนมาก่อนในปีค.ศ. 2006 โดยทางสตูดิโอในตอนนั้นตัดสินใจเลือก แบรนดอน เราธ์ มารับบทเป็นซูเปอร์แมน
บท | ภาพยนตร์ | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
Superman (1948) | Superman (1978) | Superman II (1980) | Superman III (1983) | Superman IV (1987) | Superman Returns (2006) | Man of Steel (2013) | |
ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เค้นท์ | เคิร์ก อลิน | คริสโตเฟอร์ รีฟ | แบรนดอน เราธ์ | เฮนรี แควิลล์ | |||
โลอิส เลน | Noel Neill | Margot Kidder | Kate Bosworth | เอมี่ อดัมส์ | |||
เล็กซ์ ลูเธอร์ | ยีน แฮ็กแมน | ยีน แฮ็กแมน | เควิน สเปซีย์ | ||||
เพอร์รี ไวต์ | Pierre Watkin | Jackie Cooper | Frank Langella | ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น | |||
จิมมี ออลเซน | Tommy Bond | Marc McClure | Sam Huntington | ||||
ลานา แลง | Diane Sherry | Annette O'Toole | Jadin Gould | ||||
โจนาธาน เค้นต์ | Ed Cassidy | Glenn Ford | เควิน คอสต์เนอร์ | ||||
มาร์ธา เค้นต์ | Virginia Carroll | Phyllis Thaxter | Eva Marie Saint | ไดแอน เลน | |||
General Zod | Terence Stamp | Michael Shannon | |||||
ลารา ลอร์-เวน | Luana Walters | Susannah York | Susannah York | อเยลิต ซูเรอร์ |
บท | ซีรีส์ | |||||
---|---|---|---|---|---|---|
Superman (1948) | Atom Man Vs. Superman (1950) | Adventures of Superman (1952-1958) | Superboy (1988-1992) | Lois & Clark (1993-1997) | Smallville (2001-2011) | |
ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เค้นท์ | Kirk Alyn | George Reeves | John Haymes Newton / Gerard Christopher | Dean Cain | ทอม เวลลิ่ง | |
เล็กซ์ ลูเธอร์ | Lyle Talbot | Scott Wells / Sherman Howard | John Shea | ไมเคิล โรเซนบอม | ||
โลอิส เลน | Noel Neill | Phyllis Coates / Noel Neill | เทอรี แฮทเชอร์ | Erica Durance | ||
ลานา แลง | Stacy Haiduk | คริสติน ครุก | ||||
เพอร์รี ไวต์ | Pierre Watkin | John Hamilton | ไม่ปรากฏชื่อนักแสดง | Michael McKean | ||
จิมมี ออลเซน | Tommy Bond | Jack Larson | Michael Landes / Justin Whalin / Jack Larson | Aaron Ashmore | ||
ซูเปอร์เกิร์ล | Laura Vandervoort |
ซูเปอร์แมนมักจะถูกนักดนตรีใช้เป็นแรงบัลดาลใจในการสร้างผลงานอยู่เสมอ ซึ่งชื่อของซูเปอร์แมนมักจะปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงของศิลปินหลายๆคนในทุกยุคสมัย เช่น Sunshine Superman ผลงานสุดฮิตที่ติดชาร์จ บิลบอร์ดฮอต 100 ของ โดโนแวน ที่มีชื่อของซูเปอร์แมนปรากฏอยู่ทั้งในชื่อเพลงและเนื้อเพลงในท่อนที่ร้องว่า "Superman and Green Lantern ain't got nothing on me"[133] ส่วนนักร้องโฟล์คและนักแต่งเพลงอย่างจิม ครอค ได้กล่าวถึงซูเปอร์แมนในท่อนครอรัสในบทเพลงของเขาที่ชื่อว่า "You Don't Mess Around with Jim",ในท่อนที่ร้องว่า "you don't tug on Superman's cape" ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นวลีที่ได้รับความนิยมในสมัยนั้น [134] สำหรับบทเพลงอื่นที่อ้างอิงถึงซูเปอร์แมนนั้นก็มีเพลง "Land of Confusion" ของวง เจเนซิส[135] โดยในมิวสิควิดีโอของเพลงนี้จะมีใบประกาศที่เป็นรูปของ โรนัลด์ เรแกน สวมชุดของซูเปอร์แมนปรากฏอยู่[136] นอกจากนี้ยังมีเพลง "(Wish I Could Fly Like) Superman" ของวงเดอะคิงค์ส โดยเป็นผลงานเพลงจากอัลบั้ม Low Budget ที่ออกจำหน่ายในปี ค.ศ.1979 รวมถึงบทเพลงที่มีชื่อว่า "Superman" ของวง เดอะ ไคลคิว ส่วนผลงานถัดมาเป็นของวงอาร์.อี.เอ็ม. ในปีค.ศ.1986 กับอัลบั้มที่มีชื่อว่า Lifes Rich Pageant ซึ่งบนปกของอัลบั้มนั้นมีการอ้างอิงถึง แกรนท์ มอร์ริสัน ผู้ที่มีบทบาทเป็น แอนนิม่อล แมนรวมถึงปรากฏภาพของซูเปอร์แมนอยู่บนปกด้วย[137] รวมถึงบทเพลงของวง แคลช เทส ดัมมี่' ที่มีชื่อว่า "Superman's Song" ผลงานเพลงในปี ค.ศ.1991 จากอัลบั้มThe Ghosts That Haunt Me โดยเนื้อเพลงจะกล่าวถึงความมุ่งมั่นและการต้องตัดสินใจในการใช้ชีวิตของซูเปอร์แมน [138] จนกระทั่งในปีค.ศ. 2000 บทเพลง "Superman (It's Not Easy)" ของวง ไฟฟ์ ฟอร์ ไฟท์ติ้ง ได้ทำการกล่าวถึงมุมมองของซูเปอร์แมนว่าตัวซูเปอร์แมนนั้นไม่ได้มีความสุขสบายเหมือนที่ผู้คนทั้งหลายๆเข้าใจ[139]
ผลงานที่นำเอาซูเปอร์แมนมาล้อเลียนนั้นก็มีอยู่เป็นระยะๆ เช่น ผลงานการ์ตูนในปีค.ศ.1942 เรื่อง ไมท์ตี้ เมาส์ ที่มีการเปิดตัวเรื่องด้วยข้อความ “เดอะ เมาส์ออฟทูมอร์โรว์”[140] ไมท์ตี้ เมาส์นั้นจะมีพลังเหมือนกับซูเปอร์แมนทุกอย่างเพียแต่เรื่องราวจะออกมาในรูปแบบเบาสมองซึ่งตัวละครภายในเรื่องนั้นก็มีบุคลิกคล้ายกับตัวละครในซูเปอร์แมน หลังจากนั้นในปีค.ศ.1943 ผลงานการ์ตูนของ บักส์ บันนี่ ที่มีชื่อตอนว่า ซูเปอร์ แรบบิท จะมีฉากที่บักส์ บันนี่ได้รับพลังหลังจากที่กินแครรอทเข้าไป โดยตอนจบของเนื้อเรื่องนั้นบักส์ บันนี่ ได้วิ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์เพื่อที่จะทำการแปลงร่างเป็น ซูเปอร์แมน และทำท่าทางเหมือน นาวิกโยธินของอเมริกา ส่วนในปีค.ศ.1956 ดัฟฟี่ ดั๊ค ได้มาสวมบทเป็น "คลั๊ก เทร้นท์ " ในผลงานการ์ตูนที่มีชื่อว่า "สติวเปอร์ ดั๊ก" จนภายหลังบทบาทนี้ได้ถูกนำไปใช้ในหนังสือการ์ตูนของ ลูนี่ย์ ตูน อยู่หลายตอน [141] างฝั่งของสหราชอาณาจักรเองก็มีการนำเอาซูเปอร์แมนไปล้อเลียนเช่นกันเริ่มจากผลงานของมอนตี้ ไฟท่อน กับตัวละครที่มีชื่อว่า ไบซีเคิ่ล รีแพร์แมน ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับซ่อมจักรยานทั่วโลก โดยซีรีส์ชุดนี้จะถูกนำเสนอในช่องรายการของ บีบีซี[142] รวมถึงซีรีส์ซิท-คอมที่มีชื่อว่า"มาย ฮีโร่" ที่นำเสนอเรื่องราวของ เธอร์โมแมน ผู้ที่มีพลังคล้ายกับซูเปอร์แมน ซึ่งพยายามที่จะปกป้องโลกรวมถึงเสาะหาความรักที่ซาบซึ้งให้กับตัวเอง [143] และในรายการ แซทเทอร์เดย์ ไนท์ ไลฟ์ ของสหรัฐอเมริกาเองก็ได้มีการล้อเลียนซูเปอร์แมน เมื่อ มาร์ก๊อท คิดเดอร์ ได้แต่งตัวเลียนแบบเป็น ลูอิส เลน ในโชว์ที่ 179 ของรายการ ส่วน เจอร์รี่ ซีนฟิลด์ ผู้ซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ของซูเปอร์แมน ได้นำซูเปอร์แมนใส่เข้าไปอยู่ในผลงานซีรีส์ของเขาเรื่อง ซีนฟิลด์ จากนั้นในปีค.ศ.1997 ซีนฟิลด์ได้ให้ซูเปอร์แมนเข้ามามีส่วนร่วมในการถ่ายทำผลงานโฆษณาของอเมริกัน เอ็กซ์เพรซ โดยให้แสดงคู่กับตัวเขาเอง ซึ่งโฆษณาชุดนี้ได้ได้ถูกผยแพร่ในการแข่งขันเอ็น เอ็ฟ แอล รอบเพลย์อ๊อฟ ในปี ค.ศ.1998 รวมถึงการแข่งขัน ซูเปอร์โบล์ว ในทุกๆนัด โดยทางซีนฟิลด์ได้ให้ศิลปินที่มีชื่อว่า เคิร์ท สวอน เป็นผู้วาดภาพแอนิเมชั่นของซูเปอร์แมนที่ใช้ในโฆษณา[144]
ซูเปอร์แมนมักจะถูกอ้างถึงในผลงานของนักเขียนต่างๆมากมาย เช่นในผลงานนิยายภาพของ สตีเว่น ที. ซีเกิล ที่มีชื่อว่า ซูเปอร์แมน: อิท อะ เบิร์ด ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ชีวิตของซีเกิลโดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากซูเปอร์แมน[145]ทางด้าน แบรด เฟรเซอร์ ก็ได้อ้างถึงซูเปอร์แมนในบทประพันธ์ของเขาเรื่อง พัว ซูเปอร์ แมน มีการจัดพิมพ์ในหนังสิพิมพ์ ดิอินดีเพ็นเดนต์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเกย์ต้องมาต้องมาสูญเสียพวกพ้องจากการติดโรคเอดส์จากบุคคล "ที่ถูกระบุว่าเป็นซูเปอร์แมน ผู้ที่มาจากนอกโลกและมีนิสัยชอบหลอกลวงผู้อื่น"[146]ส่วนผลงานโรแมนติค คอมเมดี้ของโธม ซาห์เลอร์ เรื่อง เลิฟ แอนด์ เคพส์ โดยจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของซูเปอร์แมน อนาล็อก ที่มีประโยคประจำตัวว่า (“ได้โปรด ฉันคือสัญลักษณ์!”) กับคู่หมั้นของเขาที่เป็นคนธรรมดา
ซูเปอร์แมนยังถูกกล่าวถึงในผลงานภาพยนตร์หลายๆเรื่อง เช่นภาพยนตร์เรื่อง แบทแมน & โรบิน ของโจเอล ชูมัคเกอร์ โดยแบทแมนได้ทำการพูดว่า: "เพราะอย่างนี้ไง ซูเปอร์แมนถึงทำงานคนเดียว..." ซึ่งแบทแมนต้องการจะเปรียบเทียบถึงโรบิน คู่หูของเขาที่มักชอบนำปัญหามาให้ รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง สไปเดอร์แมน ของแซม ไรมี่ ในฉากที่ป้าเมย์ ได้ให้คำปรึกษากับปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ผู้ที่เป็นหลานชายว่าอย่าหักโหมให้มากนักด้วยคำพูดที่ว่า “หลานก็รู้ หลานไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ” นอกจากนี้ซูเปอร์แมนยังถูกอ้างอิงในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆอีกมากมาย
นับตั้งแต่ซูเปอร์แมนปรากฏตัว ซูเปอร์แมนได้ถูกนำไปตีความและถูกบอกเล่าในหลายๆรูปแบบ ซูเปอร์แมนคือตัวละครซูเปอร์ฮีโรตัวแรกที่บรรดานักวิชาการมักจะหยิบยกมาพูดคุยและวิเคราะห์ในหลายๆด้าน อัมเบอร์โต เอโค่ นักวิชาการชื่อดัง เคยกล่าวไว้ว่า “ผู้คนจะเห็นว่าซูเปอร์แมนนั้นคือตัวแทนของความดีงามโดยเขาได้แสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาผ่านการกระทำของเขา”[147] ส่วนบทความของ เจอร์รอลด์ คลาร์ก ในนิตยสาร ไทม์ ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1971 ได้เขียนไว้ว่า: “ความนิยมอันมากมายที่ผู้คนมีต่อซูเปอร์แมนนั้นมันเหมือนกับเป็นสัญญาณการการปิดฉาก ยุคสมัยของ โฮราทิโอ อัลเกอร์ นักเขียนที่มีผลงานเป็นร้อยเรื่อง” คลาร์กได้ดูรายละเอียดของบรรดาตัวละครและทำการศึกษาความสัมพันธ์ต่างๆ จากนั้นได้เขียนบทความเกี่ยวกับซูเปอร์แมนผ่านหนังสือพิมพ์ คลาร์กนั้นเห็นว่าซูเปอร์แมน (ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงทศวรรษ ค.ศ.1970) จะไม่มีวันล้าสมัยอย่างแน่นอน คลาร์กกล่าวว่า “มีแต่บุคคลที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะสามารถสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่และจะอยู่คู่โลกใบนี้ตราบนานเท่านาน” [148] ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 แอนดรีว อาร์โนลด์ ได้เขียนบทความเอาไว้ว่า การกระทำของซูเปอร์แมนนั้นคือแบบอย่างที่ดีที่มนุษย์ทุกคนควรจะปฏิบัติตาม ซูเปอร์แมนแม้จะเป็นบุคคลจากดาวอื่นแต่ก็มีจิตใจที่ดีงามทำซึ่งผู้อ่านสามารถซึมซับความดีเหล่านั้นได้จากการรับชมซูเปอร์แมน[149]
เอ.ซี. เกรย์ลิ่ง ได้เขียนบทความไว้ในนิตยสาร เดอะ สเปคเตเตอร์ เกี่ยวกับบุคลิกของซูเปอร์แมนในยุคสมัยต่างๆ ซูเปอร์แมนถูกเปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ ค.ศ.1930 ด้วยปณิธานที่ต้องการกำจัดอาชญากรรมตามกระแสความนิยมในยุคสมัยนั้นที่ได้รับอิทธิพลมาจาก อัล คาโปน จนกระทั่งช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1940 ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซูเปอร์แมนได้เข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติด้วยการขาย พันธบัตรสงคราม[150] ในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1950 ซูเปอร์แมนได้ออกค้นหาเทคโนโลยีชิ้นใหม่ที่มีอานุภาพทำลายล้างโลกได้ โดย เกรย์ลิ่ง ได้ทำการบันทึกถึงเรื่องราวของเหตุการณ์นี้หลังจากที่ สงครามเย็น ได้เปิดฉากขึ้นเอาไว้ว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันกลายมาเป็นเรื่องราวของซูเปอร์แมน: ซูเปอร์แมนต้องใช้พละกำลังของตัวเองเข้าต่อกรกับมันสมองของ เล็กซ์ ลูเธอร์ และ ไบรนิแอค ซึ่งมันก็คล้ายๆกับสงครามเย็นที่เกิดขึ้นในขณะนี้” แต่เหตุการณ์ที่ถูกผู้คนนำมาพูดถึงมากที่สุดนั่นก็คือเหตุการณ์ วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544, “ทั่วทั้งโลกต่างจับตามองไปยัง จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีของอเมริกา หลังจากที่อเมริกาต้องตกเป็นเหยื่อการก่อวินาศกรรมจากผู้ก่อการร้ายที่มีนามว่า อุซามะฮ์ บิน ลาดิน เหตุวินาศกรรมในครั้งนี้ถือว่าเป็นการก่อวินาศกรรมที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกาและของโลก ผู้คนในประเทศต้องพยายามก้าวผ่านสิ่งนี้ไปให้ได้ โดยหวังว่าซักวันจะมีชายผู้สวมชุดสีฟ้าบินมาพร้อมกับผ้าคลุมสีแดงออกมาปกป้องพวกเขาในโลกแห่งความเป็นจริง”[151]
สกอตต์ บูคัทมัน ได้ทำการกล่าวถึงซูเปอร์แมนกับฮีโร่ทั่วๆไปว่าไม่มีฮีโร่คนไหนจะมีพื้นที่ในการปฏิบัติงานกว้างขวางไปกว่าซูเปอร์แมนอีกแล้ว ซูเปอร์แมนนั้นต้องบินไปมาในท้องฟ้าของเมืองที่มีขนาดใหญ่มากๆอย่างเมโทรโพลิส บูคัทมันยังได้เขียนบทความเกี่ยวกับซูเปอร์แมนเอาไว้ว่า “นับตั้งแต่ปีค.ศ.1938 ซูเปอร์แมนนั้นถูกนำมากล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาเขาเป็นสุดยอดฮีโร่ ซูเปอร์แมนมีสายตาเอ็กซ์-เรย์ที่สามารถมองทะลุผนังได้ มีจิตใจที่ดีงามและมีพลังอันมหาศาล เมืองเมโทรโพลิสเป็นประชาธิปไตยพร้อมกับเกิดความสงบสุขได้ก็เพราะมีซูเปอร์แมน” [38]
จูเลียส ไฟฟ์เฟอร์ ได้พูดเกี่ยวกับซูเปอร์แมนเอาไว้ว่า ซูเปอร์แมนนั้นคือการพัฒนาการของคลาร์ก เคนต์อย่างแท้จริง ไม่น่าสงสัยเลยว่า “ทำไมซูเปอร์แมนถึงสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ นั่นก็เพราะซูเปอร์แมนได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆผ่านบุคลิกอีกบุคลิกหนึ่งที่เป็นเด็กชาวไร่ธรรมดาๆที่มีชื่อว่า คลาร์ก เคนต์นั่นเอง” ไฟฟ์เฟอร์ เป็นหนึ่งในทีมงานผู้พัฒนาที่ทำให้ซูเปอร์แมนกลายมาที่นิยมในยุคแรกๆ [152] ทั้งซีเกลและชูสเตอร์สองผู้สร้างซูเปอร์แมนต่างเห็นด้วยกับแนวความคิดของไฟฟ์เฟอร์ โดยซีเกลได้ทำการกล่าวว่า “ถ้าคุณสนใจในเรื่องที่ว่าซูเปอร์แมนมีที่มาที่ไปอย่างไร…อะไรดีละ? แต่ผมจะบอกคุณว่านี่แหละคือหัวใจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดที่แฟนๆของผลงานชุดนี้จะต้องชอบแน่ๆ โจกับผมก็พยายามมาคิดแล้วคิดอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้...ว่าเราควรจะนำมาใช้เพื่อช่วยทำให้หนังสือการ์ตูนของเราที่มีเรื่องราวเป็นแนววิทยาศาสตร์ดูน่าสนใจมากขึ้น นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงต้องสร้างตัวตนของซูเปอร์แมนขึ้นมาสองตัว” ส่วนชูสเตอร์ก็เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้เช่นกัน โดยได้กล่าวว่า “ทำไมผู้คนชอบพูดถึงเรื่องนี้กันจังเลย”[153]
เอียน กอร์ดอน ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า หลายๆสิ่งในตัวของซูเปอร์แมนที่ถูกนำแสดงผ่านสื่อนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับรูปแบบอุดมการณ์ของชาวอเมริกัน กอร์ดอนยังอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้มันก็เหมือนกับการเชื่มโยงระหว่างปัจเจกนิยม, การคุ้มครองสิทธิ์ และ ประชาธิปไตย ส่วนอีกสิ่งหนึ่งนั้นก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผลกระทบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งทั้งหมดนี้ได้เข้ามามีผลต่อซูเปอร์แมนอย่างแท้จริง[154]
การที่ซูเปอร์แมนนั้นต้องมาอาศัยอยู่บนโลกหลังจากที่ดวงดาวบ้านเกิดถูกทำลายลงได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินเรื่องราว[155][156][157] อัลโด เรกาลาโด มีความเห็นว่าในอเมริกานั้นซูเปอร์แมนกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย เรกาลาโดได้ให้ความเห็นว่าการที่ซูเปอร์แมนเป็นบุคคลที่มาจากนอกโลกทำให้มันมีแนวความคิดเหมือนกับ ชาวแองโกล-แซกซัน ในอดีต[158] ส่วนมุมมองของ แกรี่ อีเกิ้ล นั้นเห็นว่า “เรื่องราวของซูเปอร์แมนจะมีส่วนผสมของความเชื่อมั่นและการมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอตามลักษณะของผู้ที่ทำการเดินทางมาสู่ วัฒนธรรมอเมริกา " อีเกิ้ลยังกล่าวอีกว่าซูเปอร์แมนนั้นเป็นซูเปอร์ฮีโรที่มีบุคลิกเหมือนกับชาวตะวันตกที่ทำการย้ายถิ่นฐานเมื่อครั้งอดีต จากเหตุผลทั้งสองข้อนี้ทำให้ระบุได้ว่าซูเปอร์แมนนั้นมีบุคลิกของผู้อพยพทั้งสองกลุ่ม ทำให้คลาร์ก เคนต์นั้นก็คือสิ่งที่ผสมผสานของมรดกทางวัฒนธรรมโดยแสดงผ่านออกมาในบุคลิกของซูเปอร์แมน[156] ทางด้านทิโมธี แอรอน พีวีย์ ได้ทำการกล่าวถึงในแง่มุมของเรื่อง ความฝันอเมริกัน ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเปอร์แมน ซึ่งพีวีย์ได้ทำการบันทึกไว้ว่า “สิ่งเดียวที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับซูเปอร์แมนได้กลับเป็นคริปโตไนท์เศษหินจากดาวบ้านเกิดของซูเปอร์แมนเอง”[37] ด้าน เดวิด จีนมันน์ กลับมีความคิดที่ต่างออกไป จีนมันน์ เห็นว่าเรื่องราวในช่วงแรกๆของซูเปอร์แมนนั้นน่าจะเป็นภัยคุกคามต่อโลกมากกว่า ด้วยคำพูดที่ว่า “สิ่งที่เห็นอยู่ชัดแจ้งแดงแจ๋ก็คือซูเปอร์แมนมีความสามารถที่จะยึดครองโลกได้สบายๆเลยละ” [159] ส่วน เดวิด รูนี่ย์ นักวิเคราะห์ภาพยนตร์ ของ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส ได้ทำการกล่าวถึงซูเปอร์แมนในบทความวิจารณ์ของเขาที่มีชื่อว่า เยียร์ ซีโร่ เอาไว้ว่า “แก่นสารของเรื่องก็คือการอพยพมายังโลกของซูเปอร์แมน...ต้องมาเติบโตใช้ชีวิตอยู่ในดวงดาวที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง ซูเปอร์เติบโตขึ้นมาบนโลกพร้อมกับความแข็งแกร่งแต่ก็ต้องปกปิดชาติกำเนิดของตัวเองเอาไว้ซึ่งก็ส่งผลให้ซูเปอร์แมนมีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อกรกับบรรดาเหล่าวายร้ายทั้งหลายที่เข้ามาคุกคามโลก”[160]
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาตัวละครซูเปอร์แมนทั้งในรูปแบบหนังสือการ์ตูนและรูปแบบในสื่ออื่นๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้คนส่งผลให้ได้รับรางวัลเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่กระแสความนิยมของซูเปอร์แมนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายมาเป็นซูเปอร์ฮีโรอันดับหนึ่งของ ดีซีคอมิกส์ แต่กับความสำเร็จในด้านวีดีโอเกมส์นั้นซูเปอร์แมนกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เริ่มตั้งแต่ปีค.ศ. 1978 เมื่อผลงานวิดีโอเกมส์ชุดแรก ได้ออกจัดจำหน่ายให้กับเครื่องเครื่อง อะตารี่ 2600 แม้ว่าผู้พัฒนาเกมส์จำนวนมากจะพยายามทำให้ตัวเกมส์ของซูเปอร์แมนเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนแต่ผลงานเกมส์ชิ้นนี้กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมถึงผลงานเกมส์ที่ถือว่าเป็นผลงานที่ล้มเหลวที่สุดก็คือเกมส์ที่มีชื่อว่า “ซูเปอร์แมน” จัดจำหน่ายในปีค.ศ.1999ให้กับเครื่องไนเทนโด 64 (แต่เกมส์นี้มักจะถูกเรียกอย่างผิดๆว่า ซูเปอร์แมน 64 ตามชื่อของเครื่องเล่น N64 ที่มีเลข 64 ตามหลัง) ซึ่งผลงานเกมส์ชุดนี้ถูกจัดให้เป็นผลงานเกมส์ที่เลวร้ายที่สุดตลอดกาลของวงการเกมส์เลยทีเดียว
เมนูนำทาง
ซูเปอร์แมน อิทธิพลต่อวัฒนธรรมใกล้เคียง
ซูเปอร์แมน ซูเปอร์แมน (ภาพยนตร์) ซูเปอร์แมน vs มูฮัมหมัด อาลี ซูเปอร์แมน (พิภพ-สอง) ซูเปอร์แมนฮีโร่ สวยช่วยได้ ซีซั่น 2 ซูเปอร์แดนเซอร์ออนไลน์ ซูเปอร์แบนตัมเวท ซูเปอร์แมทช์แหล่งที่มา
WikiPedia: ซูเปอร์แมน http://www.amazon.com/Bird-Plane-Superman-Original... http://www.azreporter.com/entertainment/television... http://www.bartleby.com/61/ http://www.blackwell-synergy.com/doi/abs/10.1111/1... http://www.blackwell-synergy.com/doi/full/10.1111/... http://www.cbgxtra.com/default.aspx?tabid=42&view=... http://www.citybeat.com/cincinnati/article-20359-t... http://www.cnn.com/SPECIALS/2002/emmys/print.ballo... http://www.comicbookdb.com/character.php?ID=190 http://www.comicbookdb.com/character.php?ID=296