ตุลาการภิวัตน์[1] (
อังกฤษ: judicial activism) ใช้เรียกกรณีที่
อำนาจตุลาการต้องสงสัยว่าบังคับใช้กฎหมายตามความเชื่อส่วนบุคคลหรือการเมือง แทนที่จะอิงตามกฎหมายที่บัญญัติไว้
พจนานุกรมกฎหมายของแบล็ค ให้คำจำกัดความไว้ว่า "แนวคิดที่ตุลาการให้ความเชื่อส่วนบุคคลเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน นอกเหนือไปจากปัจจัยอื่น ๆ มาชี้นำการตัดสินของตน" ("philosophy of judicial decision-making whereby judges allow their personal views about public policy, among other factors, to guide their decisions.")
[2]คำจำกัดความของตุลาการภิวัตน์นั้น สามารถสืบต้นกำเนิดไปได้ถึง
ทอมัส เจฟเฟอร์สันซึ่งวิจารณ์ตุลาการอย่าง
จอห์น มาร์แชลว่ามี "พฤติกรรมแบบเผด็จการ" (despotic behaviour)
[3] ส่วนผู้ใช้คำนี้เป็นคนแรกคือ
อาเธอร์ เชลสซิงเจอร์ จูเนียร์ โดยใช้วิจารณ์ศาลผ่านบทความชื่อ The Supreme Court: 1947. ในวารสาร
ฟอร์ชูนฉบับมกราคม
พ.ศ. 2490[4] คำว่าตุลาการตุลาการภิวัตน์นั้น ทำให้เกิดการถกเถียงมาแต่แรก โดย เครก กรีน ได้วิจารณ์เชลสซิงเจอร์ไว้ในบทความชื่อ An Intellectual History of Judicial Activism ว่า "การนำคำตุลาการภิวัตน์มาใช้ของเชลสซิงเจอร์นั้นกำกวมอย่างน่ากังขา ไม่เพียงแต่เขาจะอธิบายสิ่งที่เรียกว่าตุลาการภิวัฒน์ไม่ได้ แต่เขายังไม่ยอมบอกด้วยว่าสิ่งนี้ดีหรือเลว"
[5]กรณีที่ถูกกล่าวว่าเป็นตุลาการภิวัตน์อันมีชื่อเสียงก็คือใน
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2543 เมื่อศาลสูง
สหรัฐอเมริกาให้ยุติการนับคะแนนใหม่ของ
รัฐฟลอริดา และทำให้
จอร์จ ดับเบิลยู. บุชได้รับชัยชนะเหนือ
อัล กอร์ไปโดยปริยาย
[6]ส่วนในประเทศไทย
ธีรยุทธ บุญมีบัญญัติศัพท์นี้หลัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานศาลปกครองสูงสุด (
อักขราทร จุฬารัตน) และประธานศาลฎีกา (
ชาญชัย ลิขิตจิตถะ) นำตุลาการศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2549 เพื่อหาทางออก
วิกฤตการณ์การเมืองไทย[7]