มุมมองทางวัฒนธรรมและปรัชญา ของ น้ำอสุจิ

พุทธศาสนาเถรวาท

สำหรับพระภิกษุของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท การจงใจทำน้ำอสุจิให้เคลื่อนเป็นอาบัติหนักคืออาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งในพระพุทธพจน์ทรงเจาะจงไว้ว่าเป็น การ "ทำให้เคลื่อน"[44] ซึ่งอธิบายเพิ่มขึ้นว่าเป็น "กิริยาที่ทำให้เคลื่อนจากฐาน" ส่วนในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาสรุปว่า "กายทั้งสิ้น"[45] เป็น "ฐาน" (คือเป็นที่อยู่ของน้ำอสุจิ) แล้วอ้างว่า

จริงอย่างนั้น น้ำสมภพ (น้ำอสุจิ) ย่อมไหลออกทางหมวกหู (ขอบหูตอนบน) ทั้งสองของช้างทั้งหลาย ที่ถูกความกลัดกลุ้มด้วยราคะครอบงำแล้ว, และพระเจ้ามหาเสนะผู้ทรงกลัดกลุ้มด้วยราคะ ไม่ทรงสามารถจะอดทนกำลังน้ำสมภพได้ จึงรับสั่งให้ผ่าต้นพระพาหุ (แขน) ด้วยมีด ทรงแสดงน้ำสมภพซึ่งไหลออกทางปากแผล ฉะนั้นแล[45]

ดังนั้น คัมภีร์พุทธศาสนาเถรวาทชั้นอรรถกถาจึงบอกเป็นนัยว่า น้ำอสุจิอาจจะไหลออกจากส่วนใดของร่างกายก็ได้ เพราะกายทั้งสิ้นเป็น "ฐาน" ของน้ำอสุจิ

นอกจากนั้นแล้ว ในพระพุทธพจน์ยังกำหนดสีของน้ำอสุจิไว้อีกด้วยว่า

น้ำอสุจิมี 10 ชนิด คือ (1) อสุจิสีเขียว (2) อสุจิสีเหลือง (3) อสุจิสีแดง (4) อสุจิสีขาว (5) อสุจิสีเหมือนเปรียง (6) อสุจิสีเหมือนน้ำท่า (น้ำในแม่น้ำลำคลอง) (7) อสุจิสีเหมือนน้ำมัน (8) อสุจิสีเหมือนนมสด (9) อสุจิสีเหมือนนมส้ม (10) อสุจิสีเหมือนเนยใส[44]

ชี่กง

ชี่กงและแพทย์แผนจีนเน้นพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า 精 (ภาษาจีน: jīng, หยิน ซึ่งหมายถึง "แก่นสาร" หรือ "วิญญาณ")[46][47] ซึ่งบุคคลหนึ่งต้องพยายามสะสม หยิน เป็นพลังทางเพศที่ถือว่า ถูกปล่อยออกไปเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิ ดังนั้น การช่วยตัวเองจึงถือว่า เป็นการทำลายพลังสำหรับคนที่ฝึกวิชานี้ทฤษฎีชี่กงบอกว่า พลังลมปราณจะส่งไปทางอวัยวะเพศเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศการถึงจุดสุดยอดและการหลั่งน้ำอสุจิจะเป็นการปล่อยพลังเหล่านั้นไปจากร่างกายสุภาษิตจีนว่า 一滴精,十滴血 (ภาษาจีน: yì dī jīng, shí dī xuè, แปลโดยบทว่า: น้ำอสุจิหยดหนึ่งมีค่าเท่ากับเลือดสิบหยด) แสดงให้เห็นถึงความคิดแนวนี้

คำวิทยาศาสตร์จีนของน้ำอสุจิก็คือ 精液 (ภาษาจีน: jīng yè, แปลโดยบทว่า: หยดแก่นสาร/หยดหยิน) และคำของตัวอสุจิก็คือ 精子 (ภาษาจีน: jīng zǐ, แปลโดยบทว่า: ธาตุของแก่นสาร/ธาตุของหยิน)ซึ่งเป็นคำศัพท์ปัจจุบันที่มีการเท้าความเดิม

ปรัชญากรีก

ในสมัยกรีกโบราณ อาริสโตเติลได้ให้ความสำคัญของน้ำอสุจิ นักเขียนคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "สำหรับอาริสโตเติลแล้ว น้ำอสุจิเป็นสิ่งที่มาจากอาหารมาจากเลือด และมีการปรุงให้เป็นสารที่ยอดเยี่ยม อยู่ที่อุณหภูมิที่ยอดเยี่ยมซึ่งผู้ชายเท่านั้นหลั่งออกได้ เป็นผลจากธรรมชาติของผู้ชาย ที่มีระดับไฟธาตุที่ขาดไม่ได้ในการเปลี่ยนเลือดให้เป็นน้ำอสุจิ"[48] อาริสโตเติลคิดว่า มีความสัมพันธ์กันโดยตรงระหว่างอาหารและน้ำอสุจิ คือ"น้ำอสุจิเป็นการขับสารอาหารออก หรือจะพูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ เป็นการขับส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดของอาหารออก"[49]

ความสัมพันธ์ของอาหารเพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตของร่างกายในทางหนึ่งและความสัมพันธ์ของอาหารกับน้ำอสุจิในอีกทิศทางหนึ่งทำให้อาริสโตเติลเตือนไม่ให้"มีกิจกรรมทางเพศเมื่ออายุน้อย...เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายคือ อาหารที่ใช้ในการเจริญเติบโตของร่างกาย จะถูกนำไปใช้เพื่อการผลิตน้ำอสุจิ...อาริสโตเติลกล่าวว่า นี้หมายถึงช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตดังนั้น ช่วงอายุที่ดีที่สุดเพื่อเริ่มกิจกรรมทางเพศก็คือเมื่อไม่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแล้ว เพราะว่า เมื่อร่างกายเติบโตถึงระดับที่สูงที่สุดแล้วการเปลี่ยนสารอาหารไปเป็นน้ำอสุจิไม่ได้ทำให้ร่างกายขาดวัสดุที่ใช้เพื่อการเติบโต"[50]

นอกจากนั้นแล้ว "อาริสโตเติลยังบอกเราว่า เขตรอบ ๆ ตาเป็นเขตที่อุดมสูงสุดของ 'พืช' ในศีรษะเป็นทฤษฎีที่อธิบายผลที่เกิดขึ้นต่อตาเมื่อมีเพศสัมพันธ์มากเกินไปและระบุถึงความคิดที่บอกว่า ตัวอสุจิมาจากน้ำที่อยู่รอบ ๆ ตา"[51] นี่อาจจะอธิบายความคิดลัทธิของพิทาโกรัสว่า "น้ำอสุจิเป็นหยดหนึ่งของสมอง (τὸ δε σπέρμα εἶναι σταγόνα ἐγκέφαλου)."[52]

เชื่อกันว่า ผู้หญิงก็มีน้ำอสุจิแบบของตนเองเช่นกันซึ่งมีอยู่ในมดลูกและเกิดการปล่อยเมื่อถึงจุดสุดยอดการมีน้ำอสุจิค้าง (คือไม่มีการปล่อย) เชื่อว่าเป็นเหตุของโรคฮิสทีเรียในหญิง (female hysteria)[53]

น้ำอสุจิศักดิ์สิทธิ์

ในสังคมก่อนอุตสาหกรรมบางสังคม มีการถือว่าน้ำอสุจิและน้ำของร่างกายอย่างอื่น ๆ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ (หรือขลัง)โลหิตก็เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อนั้นและก็มีความเชื่อว่า น้ำอสุจิเกิดขึ้นจากสิ่งเหนือธรรมชาติและดังนั้น จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์

น้ำค้างครั้งหนึ่งเชื่อกันว่า เป็นฝนประเภทที่ทำให้โลกอุดมสมบูรณ์และจึงกลายมาเป็นตัวอุปมาของน้ำอสุจิ

มีการเชื่อกันอย่างกว้างขวางในยุคโบราณว่าแก้วมณีเป็นหยดน้ำอสุจิจากสวรรค์ซึ่งเกิดการแข็งตัวหลังจากทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่โลกแล้วมีความเชื่อโบราณของคนจีนว่า หยกเป็นน้ำอสุจิของมังกรสวรรค์ที่แห้งแล้ว

ในตำนานเก่า ๆ รอบโลกน้ำอสุจิมักจะเปรียบเหมือนกับนมแม่ในวัฒนธรรมของคนบาหลีบางเผ่าการให้น้ำอสุจิเป็นเป็นการทดแทนนมแม่โดยเป็นอุปมาเกี่ยวเนื่องกับอาหาร คือภรรยาทำอาหารให้กับสามี ผู้ทำการทดแทนโดยให้น้ำอสุจิ ซึ่งเป็น "น้ำนมแห่งความเมตตา"[54]

ในปรัชญาทางการแพทย์บางอย่าง เช่นการแพทย์แผนโบราณของคนรัสเซียน้ำอสุจิเชื่อกันว่าเป็นผลจากปฏิกิริยาทางกายที่ซับซ้อนระหว่างหญิงชายไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ของระบบสืบพันธุ์ในชาย[ต้องการอ้างอิง]

น้ำอสุจิในงานจารกรรม

ไฟล์:Sperma unter UV-Licht und ohne UV-Licht (Semen with and without Ultraviolet) .JPGรอยเปื้อนน้ำอสุจิบนพรม ดูโดยใช้และไม่ใช้แสงอัลตราไวโอเลต

เมื่อหน่วยจารกรรม SIS ของประเทศอังกฤษพบว่า น้ำอสุจิสามารถใช้เป็นหมึกที่มองไม่เห็นอย่างดีผู้อำนวยการคนแรกของหน่วย SIS จึงได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับจารบุรุษของเขาว่า "ทุกคนเป็นปากกาของตนเอง"[55]

แหล่งที่มา

WikiPedia: น้ำอสุจิ http://fxylib.znufe.edu.cn/wgfljd/%B9%C5%B5%E4%D0%... http://urbanlegends.about.com/od/medical/a/Fellati... http://www.chikung.com/wp-content/files/chikungbib... http://www.clinicrak.com/webboard/infertile/00048.... http://www.gettingit.com/article/56 http://books.google.com/?id=QBW1LBr-gpUC&pg=PP1&lp... http://books.google.com/?id=TxCYKEtShewC&pg=PA152&... http://books.google.com/books?id=dciuj1-F3fYC&pg=P... http://www.healthcentral.com/prostate/question-ans... http://www.hunyuantaijiacademy.com/Articles/On%20Q...