ประวัติ ของ บิกีนี

ดูบทความหลักที่: ความเป็นมาของบิกีนี

ยุคโบราณ

คนโรมันโบราณ วิลลาโรมานา เดล คาซาเล (ค.ศ. 286-305) ในซิซิลี แสดงภาพบิกีนีที่ถูกพบเห็นในยุคต้น

จุดเริ่มต้นของชุดว่ายน้ำสองชิ้นสามารถย้อนไปถึงยุคโบราณที่เมือง ชาตัลเฮอยืค ในภาพแสดงเทพธิดาทรงเสือดาวสองตัว โดยสวมชุดแต่งกายในลักษณะคล้ายบิกีนี[4] และในสมัยจักรวรรดิเกรโก-โรมัน ซึ่งปรากฏภาพชุดแต่งกายเหมือนบิกีนีที่นักกีฬาหญิงสวมใส่ บนโกศและภาพวาดในสมัย 1400 ปีก่อนคริสต์ศักราช[21] ในภาพชุด Coronation of the Winner งานโมเสกบนพื้นของโรมันวิลลาในซิซิลี ซึ่งอยู่ในช่วงยุคไดโอเคลเตียน (ค.ศ. 286-305) แสดงภาพหญิงสาวที่ร่วมการแข่งขันยกน้ำหนัก ขว้างจักร และ เลี้ยงลูกบอลในชุดคล้ายบิกีนี (แบนโดกีนี ในสมัยปัจจุบัน)[5][22] ภาพโมเสก ที่ถูกพบในวิลลาโรมานา เดล คาซาเล ของซิซิลี แสดงภาพหญิงสาวสิบคนซึ่งถูกเรียกชื่อดูไม่เข้ากับยุคสมัยว่า “บิกีนี เกิร์ล[23][24] โบราณคดีโรมัน ค้นพยภาพวาดเทพีวีนัส ในเครื่องแต่งกายที่คล้ายกัน ในปอมเปอี ภาพวาดของเทพีวีนัสได้ถูกค้นพบใน คาซาเดลลาเวเนเร[25][26][27] ในห้องทำงานของบ้านฟีลิกซ์จูเลีย[28] และในสวนกลางอาคารของ เวีย เดล แอบบอนแดนซา[29]

ก่อนจะมาเป็นบิกีนี

แอนเนตต์ เคลเลอร์แมน เอนกายบนไม้กระโดดน้ำโดยสวมชุดว่ายน้ำที่ออกแบบเอง ในปี พ.ศ. 2452

การว่ายน้ำหรืออาบน้ำกลางแจ้งไม่ได้รับการสนับสนุนจากคริสเตียนตะวันตก ส่งผลให้อุปสงค์หรือความต้องการชุดว่ายน้ำหรือชุดอาบน้ำมีน้อยจนกระทั่งศตวรรษที่ 18 ชุดอาบน้ำสำหรับศตวรรษที่ 18 คือชุดเสื้อคลุมยาวกรอมเท้า ในแบบเสื้อตัวหลวมที่มีแขนยาวทำมาจากขนแกะหรือผ้าสักหลาด ความพอประมาณหรือความสุภาพจึงไม่ถูกคุกคาม[30]

ในปี พ.ศ. 2450 แอนเนตต์ เคลเลอร์แมน นักว่ายน้ำและนักแสดงชาวออสเตรเลีย ถูกจับกุมที่ชายหาดบอสตัน จากการสวมใส่ชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวแขนกุดที่รัดรูปปกปิดจากคอถึงนิ้วเท้าโดยเป็นชุดที่เธอรับแบบมาจากอังกฤษ[30] ถึงแม้ว่าชุดว่ายน้ำสำหรับผู้หญิงจะเป็นที่ยอมรับกันในบางส่วนของยุโรปในปี พ.ศ. 2453 แล้วก็ตาม[31] ในปี พ.ศ. 2456 คาร์ล แจนแซ่น ดีไซเนอร์ผู้ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันว่ายน้ำหญิงในโอลิมปิก ได้ออกแบบชุดว่ายน้ำสองชิ้นชุดแรกขึ้น ชุดรัดรูปชิ้นเดียวที่ท่อนล่างเป็นขาสั้น และท่อนบนเป็นแขนสั้น[32]

ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2463 และปี พ.ศ. 2473 ผู้คนเริ่มเปลี่ยนจาก “การลงเล่นน้ำ” ไปเป็น “การอาบแดด” ที่โรงอาบน้ำ และ สปา การออกแบบชุดว่ายน้ำจึงเปลี่ยนจากการเน้นด้านการใช้งานไปเป็นเพื่อประดับตกแต่ง เรยอน ถูกนำมาใช้ในช่วงปี พ.ศ. 2463 ในการผลิตชุดว่ายน้ำแบบรัดรูป[33] หากแต่ความทนทานโดยเฉพาะเมื่อเปียกน้ำยังคงเป็นปัญหา[34] มีการนำผ้ายืด และ ผ้าไหม มาใช้บ้าง ในปี พ.ศ. 2473 ผู้ผลิตได้ลดระดับคอเสื้อให้ต่ำลง เอาแขนเสื้อออก และปรับด้านข้างให้กระชับตัวขึ้น ด้วยผ้าแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะผ้ายางเลเท็กซ์ และ ผ้าไนล่อน[35] ตลอดช่วงปี พ.ศ. 2473 เป็นต้นมา ชุดว่ายน้ำค่อย ๆ รัดรูปมากขึ้นโดยมีสายคล้องไหล่ที่สามารถปลดลงได้เพื่อการทำให้ผิวสีแทน[36]

ชุดว่ายน้ำของผู้หญิงในช่วงยุคปี พ.ศ. 2473 และ ปี พ.ศ. 2483 รวมไปถึงการเพิ่มสัดส่วนของช่วงหน้าท้องที่เปิดเผยมากขึ้น นิตยสารวัยรุ่นในช่วงปลายยุคปีพ.ศ. 2483 และ ปี พ.ศ. 2493 ได้แสดงชุดว่ายน้ำรูปแบบเดียวกันที่เปิดเผยช่วงหน้าท้อง อย่างไรก็ตามแฟชั่นที่เปิดหน้าท้องนี้ คงไว้สำหรับชายหาดและงานที่ไม่เป็นทางการ โดยมองว่าไม่สุภาพสำหรับการสวมใส่ในที่สาธารณะ[37] ฮอลลีวุดสนับสนุนชุดที่เย้ายวนใจนี้ในภาพยนตร์ เช่น ลูกสาวเนปจูน ซึ่ง เอสเทอร์ วิลเลียม ใส่ชุดที่ดูยั่วยวนมีชื่อ เช่น สองแง่สองง่าม (ดู-บล' อังทาง-ดร') และ เด็กน้อยที่รัก (ฮันนี ไชด์)[38]

บิกีนี

ไฟล์:MichelineBernardini.jpg5 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 มิเชอลิน เบอร์นาร์ดินี เป็นแบบให้บิกีนีของเรอาร์ ซึ่งชุดมีขนาดเล็กมาก สามารถใส่ลงได้ในกล่องที่กว้างเพียง 2x2 นิ้ว (51x51 ม.ม.) ที่เธอถืออยู่

ในปี พ.ศ. 2489 ณ กรุงปารีส นักออกแบบแฟชั่น ฌัก แอ็ง ได้เปิดตัวชุดว่ายน้ำสองชิ้นที่เรียกว่า อะตอม ตามชื่อหน่วยที่เล็กที่สุดของสสาร[11] ซึ่งเขาโฆษณาว่าเป็นชุดว่ายน้ำที่เล็กที่สุดในโลก ท่อนล่างของชุดว่ายน้ำนี้มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะปิดสะดือของผู้สวมใส่ได้

ในช่วงเวลาเดียวกัน หลุยส์ เรอาร์ ได้ออกแบบชุดว่ายน้ำสองชิ้นของเขาเองเพื่อมาแข่งขันกัน โดยเขาเรียกว่า เดอะบิกีนี [39] ชุดบิกีนีของเรอาร์ เหนือกว่าอะตอมของแอ็งที่ความสั้นกะทัดรัด เป็นชุดในรูปแบบเสื้อชั้นในและผืนผ้าสามเหลี่ยมสองชิ้นที่ต่อกันด้วยสายผ้า โดยชิ้นล่างได้ตัดผ้าส่วนบนแบบขแงแอ็งออกไป ด้วยขนาดรวมของผ้า 30 ตารางนิ้ว (200 ซ.ม.2) ด้วยลายพิมพ์แบบหนังสือพิมพ์ซึ่งใช้คำโฆษณาว่า “เล็กกว่าชุดว่ายน้ำที่เล็กที่สุด” [40][41]

หลังจากที่ไม่สามารถหานางแบบมาแสดงชุดที่วาบหวิวของเขาได้[42] เรอาร์ได้ว่าจ้าง มิเชอลิน เบอร์นาร์ดินี นักเต้นระบำเปลื้องผ้า วัย 19 ปี จาก คาสิโน เดอ ปารีส[43] โดยเบอร์นาร์ดินีได้รับจดหมายจากผู้ที่ชื่นชอบถึง 50,000 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย[6][32]

เรอาร์ กล่าวว่า “เช่นเดียวกับ [อะตอม] ระเบิด บิกีนีนั้นมีขนาดเล็กและมีอำนาจทำลายล้างสูง[44] ไดอาน่า วรีแลนด์ นักเขียนแวดวงแฟชั่นได้กล่าวถึงบิกีนีว่าเป็น ระเบิดอะตอมของแฟชั่น [44] ในงานโฆษณาเขาได้กล่าวว่าชุดว่ายน้ำไม่อาจเป็นบิกีนีที่แท้จริงได้ “หากไม่สามารถดึงรอดผ่านแหวนแต่งงานได้” [6] เลอ ฟิกาโร นักหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส เขียนว่า “ผู้คนถวิลหาความสุขง่าย ๆ จากทะเล และแสงแดด สำหรับผู้หญิงแล้ว การได้ใส่ชุดบิกีนีเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของการหลุดพ้นเป็นอิสระ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ หากแต่เป็นการเฉลิมฉลองในอิสรภาพและการกลับคืนสู่ความสุขในชีวิต” [32]

ความสำเร็จของบิกีนีในช่วงแรกนี้ส่วนหนึ่งจึงมาจากการจำกัดปริมาณการใช้ผ้าภายหลังสงคราม[45]ดีไซน์ของเรอาร์เป็นที่นิยมส่งให้ธุรกิจของเขารุ่งเรืองในประเทศฝรั่งเศส จากข้อมูล WordIQ.com เป็นเวลานานกว่า 15 ปีที่ บิกีนีจะได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2494 บิกีนีถูกสั่งห้ามในเวทีการประกวดมิสเวิลด์ ในปี พ.ศ. 2500 บรีฌิต บาร์โด ใส่บิกีนีในภาพยนตร์ And God Created Woman ซึ่งสร้างตลาดสำหรับชุดว่ายน้ำในสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2503 เพลงของไบรอัน ไฮแลนด์ Itsy Bitsy Teenie Weenie Yellow Polka Dot Bikini ทำให้เกิดการซื้อบิกีนีอย่างมากมาย และในที่สุดบิกีนีก็เป็นที่นิยม ในปี พ.ศ. 2506 ภาพยนตร์ Beach Party นำแสดงโดย แอนเน็ต ฟูนิเซลโล และ แฟรงกี้ อวาลอน นำมาซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีบิกีนีเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมร่วมสมัย แม้ว่าดีไซน์ของแอ็ง จะเป็นชุดแบบแรกที่ปรากฏบนชายหาด แต่ชุดว่ายน้ำสองชิ้นรูปแบบของเรอาร์กลับเป็นบิกีนีแบบที่ติดตลาด[46][5] เมื่อชุดเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก คำเรียกนี้จึงกลายมาเป็นคำทั่วไปหรือคำสามัญที่ใช้สำหรับชุดว่ายน้ำสองชิ้นแทนที่แต่ดั้งเดิมใช้เรียกชื่อตราสินค้า

การต่อต้านจากสังคม

ดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ บิกีนีเป็นมากกว่าเสื้อผ้าที่วาบหวิว แต่เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ

เลน่า เลนเส็ก หนังสือ The Beach: The History of Paradise on Earth ปี พ.ศ. 2541[47]

แม้ชุดจะได้รับความสำเร็จช่วงเริ่มแรกในประเทศฝรั่งเศส ผู้หญิงทั่วโลกก็ยังคงยึดติดกับชุดว่ายน้ำชิ้นเดียวแบบดั้งเดิม และเมื่อยอดขายหยุดนิ่ง เรอาร์ก็กลับไปออกแบบและขายชุดทรงหลวม[48] แบบถูกธรรมเนียม ในปี พ.ศ. 2493 นิตยสารไทม์ สัมภาษณ์ เฟรด โคลด์[32] นักธุรกิจชุดว่ายน้ำชาวอเมริกัน ผู้เป็นเจ้าของบริษัทชุดว่ายน้ำตลาดแมส Cole of California[49] กล่าวว่าเขารู้สึก “รังเกียจบิกีนีที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส” เรอาร์เองก็เคยกล่าวว่า “ชุดว่ายน้ำสองชิ้นนี้เปิดเผยทุกอย่างของผู้หญิงยกเว้นเพียงชื่อกลางของเธอ”[50] ในปี พ.ศ. 2493 นิตยสารแฟชั่นโมเดิร์นเกิร์ล เขียนว่า “ไม่จำเป็นจะต้องเปลืองคำไปกับสิ่งที่เรียกว่าบิกีนี เพราะมันยากเกินจะคิดว่าผู้หญิงที่รู้จักกาลเทศะหรือมีสมบัติผู้ดีคนไหนจะใส่ชุดเช่นนี้[5][32]

ในปี พ.ศ. 2494 อีริค มอเรย์ ได้จัดการประกวดบิกีนี เพื่อประกวดสาวงาม และโฆษณาชุดว่ายน้ำในงานประจำปีของเทศกาลอังกฤษ สื่อมวลชนให้การตอบรับการประกวดอย่างดีโดยเรียกงานนี้ว่า มิสเวิลด์[51][52] ซึ่งมอเรย์ได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า[53] เมื่อ กิกิ ฮาแกนสัน ผู้ชนะการประกวดจากประเทศสวีเดนได้รับการสวมมงกุฎในชุดบิกีนี หลายชาติที่เคร่งในศาสนาได้ขู่ที่จะถอนตัวแทนประจำชาติออก เพื่อคลายความโกรธที่เกิดขึ้น มอเรย์จึงสั่งห้ามบิกีนีในการประกวดนางงาม และเปลี่ยนเป็นชุดราตรีแทน[54]ฮาแกนสันจึงเป็นผู้ชนะการประกวดมิสเวิลด์คนเดียวที่ได้รับการสวมมงกุฎในชุดบิกีนี และหลังจากนั้นบิกีนีก็ถูกสั่งห้ามจากเวทีการประกวดสาวงามในหลายประเทศทั่วโลก[55][56] ชุดว่ายน้ำถูกประกาศให้เป็นสิ่งซึ่งผิดศีลธรรมโดยวาติกัน และถูกสั่งห้ามในประเทศแถบชายฝั่งแอตแลนติกฝรั่งเศส[3] เช่น สเปน เบลเยี่ยม อิตาลี โปรตุเกส และ ออสเตรเลีย อีกทั้งยังถูกห้ามหรือไม่สนับสนุนในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา[57][58] National Legion of Decency กลุ่มโรมันคาทอลิกซึ่งควบคุมดูแลเนื้อหาของสื่อในสหรัฐอเมริกาได้กดดันฮอลลีวุดจากการนำเสนอบิกีนีในภาพยนตร์ต่าง ๆ[59] ในช่วงปี พ.ศ. 2473 มีการเริ่มใช้ระบบการเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Hays production code สำหรับภาพยนตร์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมาถูกยกเลิกในปีช่วงปี พ.ศ. 2503 ที่อนุญาตให้แสดงชุดว่ายน้ำสองชิ้นแต่มิให้เปิดเผยส่วนสะดือ ในปี พ.ศ. 2502 แอนน์ โคล ผู้ออกแบบชุดว่ายน้ำรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “ไม่มีอะไรมากกว่า จี-สตริง มันเป็นความสุภาพเรียบร้อยในขั้นสุด”[60]

การพุ่งสู่ความนิยม

ในช่วงยุคปี พ.ศ. 2493 ดาราฮอลลีวุด เช่น เอวา การ์ดเนอร์ ริต้า เฮย์เวิร์ท ลาน่า เทอเนอร์ [61][62] อลิซาเบธ เทย์เลอร์ [63] ทิน่า ลูอิส [64] มาริลีน มอนโร[65] เอสเทอร์ วิลเลียม และ เบ็ตตี้ เกรเบิล[66] ได้สร้างชื่อด้วยภาพลักษณ์ที่เร่าร้อนจากการสวมใส่บิกีนีถ่ายแบบ ภาพโปสเตอร์ของ เฮย์เวิร์ท และ วิลเลียมได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา[32] ในยุโรป บรีฌิต บาร์โด ถูกถ่ายภาพขณะสวมชุดบิกีนีที่ชายหาดในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองกาน ในปี พ.ศ. 2496 เช่นเดียวกับภาพของ อานิต้า เอคเบิร์ก และ โซเฟีย ลอเรน ภาพถ่ายในรูปแบบที่เย้ายวนใจของนักแสดงหรือนางแบบชื่อดังกลายเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่งผลสำคัญให้บิกีนีพุ่งสู่ความนิยมในกระแสหลัก

เดอะการ์เดียนรายงานว่า ภาพของบาร์โดทำให้ เซนต์โทรเปส กลายเป็นเมืองหลวงแห่งบิกีนีของโลก โดยมีบาร์โดเป็นต้นแบบของสาวงามในชุดว่ายน้ำแห่งเมืองกาน ภาพถ่ายของบาร์โดช่วยส่งให้งานเทศกาลเป็นที่รู้จัก ขณะเดียวกันงานเมืองงานก็ถือเป็นจุดหักเหสำคัญของหน้าที่การงานของเธอในปี พ.ศ. 2495 บาร์โดใส่บิกีนีในภาพยนตร์ Manina, the Girl in the Bikini (พ.ศ. 2495 ฉายประเทศฝรั่งเศสในชื่อ Manina, la fille sans voiles) ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญด้วยชุดว่ายน้ำของเธอที่ดูจะเกินควรไป ในปี พ.ศ. 2496 ที่งานเทศกาลเมืองกาน บาร์โด มาร่วมงานพร้อมสามีและผู้จัดการ โรเจอร์ วาดิม ได้รับความสนใจจากช่างภาพด้วยการสวมบิกีนีบนชายหาดทางตอนใต้ของฝรั่งเศส นิตยสารโว้ก เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2496 ลงภาพชุดโดยบริษัทแคลิฟอร์เนีย ไมว่าจะเป็น โคลด์ ออฟ แคลิฟอร์เนีย คาลเท็กซ์ แคทาลิน่า แอนด์ โรส แมรี่ รีดส์ เพลงของไบรอัน ไฮแลนด์ "Itsy Bitsy Teenie Weenie Yellow Polka Dot Bikini" ขึ้นอันดับ 1 ของ ชาร์ตบิลบอร์ด ในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2503 บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวที่เขินอายที่จะใส่บิกีนีบนชายหาดโดยคิดว่ามันโป๊เปลือยเกินไป นิตยสารเพลย์บอย ขึ้นปกชุดบิกีนีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2505 นิตยสารสปอร์ต อิลัสเตรท ฉบับชุดว่ายน้ำ ได้เปิดตัวในสองปีต่อมาด้วยปกของ บาเบ็ทท์ มาร์ช ในชุดบิกีนีสีขาว

ไฟล์:Ursula Andress in Dr. No.jpgเออร์ซูล่า แอนเดรส ในบทฮันนีไรเดอร์ ในภาพยนตร์ ดร.โน (พ.ศ. 2505)

เออร์ซูล่า แอนเดรส สวมบทบาทฮันนีไรเดอร์ ในปี พ.ศ. 2505 ในภาพยนตร์เจมส์บอนด์ ดร.โน สวมบิกีนีสีขาวซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักว่า “ดร.โน บิกีนี” ได้รับการพูดถึงว่าเป็นบิกีนีที่มีชื่อเสียงที่สุดตลอดกาล และเป็นสัญลักษณ์ในโลกภาพยนตร์ และประวัติศาสตร์วงการแฟชั่น[67][68][69] แอนเดรสกล่าวว่าเธอเป็นหนี้บุญคุณบิกีนีขาวชุดนั้น “บิกีนีชุดนี้ทำให้ฉันประสบความสำเร็จ จากการแสดงเป็นสาวบอนด์ ในภาพยนตร์ ดร.โน ฉันได้มีอิสระที่จะเลือกบทบาทการแสดงในอนาคต และยังได้รับอิสระทางการเงินอีกด้วย” [67][70] ในปี พ.ศ. 2544 แอนเดรส ขาย ดร.โน บิกีนี ที่เธอใส่ในภาพยนตร์ในงานประมูลชุดไปด้วยราคา 35,000 ปอนด์ (61,500 ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี พ.ศ. 2508 หญิงคนหนึ่งกล่าวกับนิตยสารไทม์ ว่า “เกือบจะถือว่าโบราณ ถ้าไม่ใส่บิกีนี” จากนั้นสองปีต่อมา นิตยสารก็เขียนว่า หญิงสาวร้อยละ 65 ให้การยอมรับบิกีนี[61] ราเควล เวลซ์ ใส่บิกีนีหนังกวางในภาพยนตร์ in One Million Years B.C. (พ.ศ. 2509) ซึ่งส่งให้เธอดังเป็นสาวโปสเตอร์ทันที บทบาทของเธอในบิกีนีขนสัตว์ส่งให้เธอเป็นสัญลักษณ์ในแวดวงแฟชั่น และรูปภาพของเธอในชุดบิกีนีกลายเป็นภาพโปสเตอร์ที่ขายดีที่สุด[83] เวลซ์ ปรากฏกายในโฆษณาในฐานะ “ผู้สวมใส่บิกีนีชุดแรกของมวลมนุษยชาติ” และต่อมาบิกีนีขนสัตว์ก็กลายเป็นรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในช่วงยุค พ.ศ. 2503 ในปี พ.ศ. 2554 นิตยสารไทม์ จัดอันดับให้บิกีนี B.C. ของเวลซ์ เป็น “หนึ่งในสิบของบิกีนียุควัฒนธรรมร่วมสมัย” [67][70]

ปี พ.ศ. 2510 ในงานภาพยนตร์ An Evening in Paris [71] เป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้เพราะนักแสดงสาวบอลลีวู้ด ชาร์มิล่า ทากอร์ ได้กลายเป็นนักแสดงหญิงอินเดียคนแรกที่ใส่บิกีนีในภาพยนตร์[72] เธอยังได้ถ่ายแบบในชุดบิกีนีในนิตยสาร Filmfare[73][74] ซึ่งชุดได้สร้างความตกตะลึงในกลุ่มชาวอินเดียที่อนุรักษนิยม[75] แต่ยังได้สร้างกระแสต่อไปโดยซีแนท อามัน ใน Heera Panna (พ.ศ. 2516) และ Qurbani (พ.ศ. 2523)[76] ดิมเพิ่ล กาปาเดีย ใน Bobby (พ.ศ. 2516) และ ปาร์วีน บาบิ ใน Yeh Nazdeekiyan (พ.ศ. 2525)[76][77]

การยอมรับจากมวลชน

ในปี พ.ศ. 2531 บิกีนีคิดเป็นสัดส่วนของยอดขายชุดว่ายน้ำกว่าร้อยละ 20 ถึงแม้ว่าแบบสำรวจหนึ่งชี้ว่า บิกีนีร้อยละ 85 ไม่เคยสัมผัสกับน้ำเลย
ดูเพิ่มเติมที่: [[บิกีนีในยุควัฒนธรรมร่วมสมัย]]

ปี พ.ศ. 2540 เจมี่ ฟอกซ์ นางงามแมริแลนด์ กลายเป็นผู้เข้าประกวดคนแรกใน 50 ปี ที่เข้าแข่งในชุดว่ายน้ำสองชิ้นในช่วงการประกวดชุดว่ายน้ำรอบคัดเลือกของเวทีการประกวดมิสอเมริกา.[78] ถึงแม้ว่าชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียวจะกลับมานิยมในช่วงปี พ.ศ. 2531 และ พ.ศ. 2541[79] บริษัทของเรอาร์ปิดลงในปี พ.ศ. 2531[80] สี่ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต[81] ในช่วงปลายศตวรรษ บิกีนีกลายเป็นชุดว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก โอลิวิเย่ร์ เซราท นักประวัติศาสตร์ด้านแฟชั่นชาวฝรั่งเศสกล่าวถึงเหตุนี้ว่าเป็นเพราะ “พลังของผู้หญิง ไม่ใช่พลังของแฟชั่น” เขาอธิบายว่า “การปลดปล่อยเป็นอิสระของชุดว่ายน้ำมักถูกเชื่อมโยงไปยังการปลดปล่อยสู่อิสรภาพของผู้หญิง”[5] ถึงแม้แบบสำรวจหนึ่งจะชี้ว่าบิกีนีร้อยละ 85 ไม่เคยสัมผัสกับน้ำเลย[82] เหล่านักแสดงสาวในภาพยนตร์แอคชั่น นางฟ้าชาลี Full Throttle และBlue Crushได้สร้างให้ชุดว่ายน้ำสองชิ้นกลายเป็น “ความเท่าเทียมในสหศวรรษกับชุดเกราะ” จีน่า เบลลาฟอนเต้ กล่าวในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์[32]

ที่เมืองหูหลูเต่า ในเขตมณฑลเหลียวหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้สร้างสถิติโลกจากการเดินพาเหรดบิกีนีที่ใหญ่ที่สุดในปี พ.ศ. 2555 ด้วยผู้ร่วมงาน 1,085 คน และมีการถ่ายรูปผู้หญิง 3,090 คน[83][84] เบ็ธ ดินคัฟ ชาร์ลตัน ผู้ร่วมวิจัยแห่งสถาบัน Costume Institute of the Metropolitan Museum of Art กล่าวว่า “บิกีนีแสดงถึงการก้าวกระโดดทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความตระหนักถึงร่างกาย ข้อคำนึงทางศีลธรรม และทัศนคติทางเพศ” [32] ในช่วงต้นยุคปี พ.ศ. 2543 บิกีนีกลายเป็นธุรกิจทีสร้างรายได้ 811 ล้านดอลลลาร์ต่อปี อ้างอิงจาก NPD Group บริษัทด้านข้อมูลผู้บริโภคและธุรกิจค้าปลีก,[85] และได้จุดประกายให้เกิดธุรกิจใหม่ เช่น บิกีนีแวกซ์ และ การทำผิวสีแทน[86]

แหล่งที่มา

WikiPedia: บิกีนี http://www.canberratimes.com.au/olympics/news-lond... http://books.google.com.au/books?id=SIj_GBl5sAoC&p... http://www.news.com.au/heraldsun/beijing_olympics/... http://www.news.com.au/story/0,23599,22339200-2310... http://www.pastease.com.au/strapless_bikinis.html http://www.theage.com.au/articles/2006/06/02/11489... http://www.theage.com.au/cgi-bin/common/popupPrint... http://www.abc.net.au/news/olympics/sports/beach-v... http://www.accessmylibrary.com/coms2/summary_0286-... http://www.accessmylibrary.com/coms2/summary_0286-...