คำอธิบายปฏิทรรศน์โดยคาดการณ์ ของ ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี

สิ่งมีชีวิตนอกโลกมีน้อยหรือไม่มีเลย

ผู้ที่คิดว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ชาญฉลาดแทบจะเป็นไปไม่ได้ อ้างว่า สถานภาพที่จำเป็นให้วิวัฒนาการของชีวิตเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ซับซ้อน มีน้อยมากหรือว่ามีแต่ในโลกตามสมมติฐานโลกมีน้อย (Rare Earth hypothesis) เช่นนี้ซึ่งปฏิเสธหลักความเป็นธรรมดา[upper-alpha 1] สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ซับซ้อนก็จะจัดว่า แปลกมาก[69]

สมมติฐานโลกมีน้อยอ้างว่า วิวัฒนาการให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ซับซ้อนจะต้องมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จัดว่าโชคดีมาก เช่น เป็นเขตดาราจักรที่อยู่ได้, มีดวงดาวที่เป็นศูนย์และระบบดาวเคราะห์ที่มีลักษณะโดยเฉพาะ, มีเขตรอบดวงดาวที่อยู่ได้, มีดาวเคราะห์คล้ายโลกที่มีขนาดถูกต้อง, มีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดี และมีดวงจันทร์/ดาวบริวารขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันอุกกาบาต, มีแม็กนีโตสเฟียร์และการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค, มีสภาพทางเคมีของธรณีภาคที่เหมาะสม, มีบรรยากาศที่เหมาะสม, มีมหาสมุทรที่เหมาะสม, มีกระบวนการกระตุ้นวิวัฒนาการ (evolutionary pump) เช่นการเกิดยุคน้ำแข็งและการวิ่งกระทบของสะเก็ดดาว และมีภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดเซลล์แบบยูแคริโอต การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และการระเบิดเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตคล้ายเหตุการณ์ Cambrian explosion[upper-alpha 4]

ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอื่น

เป็นไปได้ว่า ถ้าแม้สิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนจะสามัญ แต่สติปัญญา (และดังนั้น อารยธรรม) อาจจะไม่สามัญ[78]แม้จะมีเทคนิคที่อาจตรวจจับดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตไกล ๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยร่องรอยของเทคโนโลยี[79][80]แต่ก็ไม่มีแบบใด ๆ ที่สามารถบอกได้ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นชาญฉลาดหรือไม่[upper-alpha 5][81]

สิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ชาญฉลาดอาจไม่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า

แม้สิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ชาญฉลาดอาจมี แต่ก็อาจยังไม่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพอที่จะสื่อสารได้เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชาญฉลาด อารยธรรมเช่นนี้ยังตรวจจับได้ยาก[81]คนที่ไม่ค่อยเชื่อมักคิดว่า อารยธรรมที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าน่าจะหาได้ยากในเอกภพ เพราะประวัติของโลกมีเพียงแค่สปีชีส์เดียวที่ได้ก้าวหน้าจนบินไปในอวกาศได้ และใช้คลื่นวิทยุได้[82]

สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดจะทำลายตนเองโดยธรรมชาติ

การทดลองระเบิดไฮโดรเจนขนาด 23 กิโลตันที่มีชื่อว่า แบ็ดเจอร์ (BADGER)

นี่เป็นอาร์กิวเมนต์ว่า อารยธรรมที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าอาจทำลายกวาดล้างตัวเองเป็นปกติหรืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนหรือหลังจากพัฒนาเทคโนโลยีคลื่นวิทยุหรือการบินไปในอวกาศวิธีการทำลายล้างตัวเองมีหลายอย่าง[83]รวมทั้งสงคราม การปนเปื้อนหรือทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่ได้ตั้งใจ การหมดทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[84]หรือปัญญาประดิษฐ์ที่ออกแบบไม่ดี

แนวคิดทั่วไปเช่นนี้ได้ใช้ทั้งในนิยายวิทยาศาสตร์และสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์[85]ในปี 1966 คาร์ล เซแกนและเพื่อนร่วมเขียนหนังสือนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวรัสเซียคาดว่า อารยธรรมที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าถ้าไม่มักทำลายตัวเองภายในศตวรรษที่สร้างเทคโนโลยีสื่อสารข้ามดวงดาว ก็จะสามารถคุมแนวโน้มที่จะฆ่าตัวเองแล้วรอดชีวิตได้เป็นพัน ๆ ล้านปี[86]

สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดจะฆ่าสัตว์อื่นโดยธรรมชาติ

สมมติฐานอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาและมีเทคโนโลยีในระดับหนึ่งจะทำลายสปีชีส์ที่ชาญฉลาดอื่น ๆ เมื่อพบพวกมันวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ได้จินตนาการว่าอาจมีอะไรบางสิ่งหรือมีมนุษย์ต่างดาวบางพวก ที่กำลังฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอื่น ๆ ในเอกภพ[30]เพราะต้องการขยายแหล่งที่อยู่อาศัย เพราะความหวาดระแวง หรือเพราะความดุร้ายมีนักจักรวาลวิทยาที่อ้างว่า พฤติกรรมเช่นนี้รอบคอบ เพราะสปีชีส์ที่มีสติปัญญาและได้ข้ามพ้นปัญหาฆ่าตัวเองได้แล้ว อาจมองการขยายแหล่งที่อยู่ของสปีชีส์อื่นว่าเป็นอันตราย[87]มีการเสนอด้วยว่า สปีชีส์สิ่งมีชีวิตนอกโลกที่รอดชีวิตมาได้จะต้องเป็นสปีชีส์ยอดนักล่า (superpredator) เหมือนกับมนุษย์[88][89]

การสูญพันธ์เป็นระยะเพราะเหตุการณ์ธรรมชาติ

สิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ อาจสูญพันธ์ไปอย่างสามัญเพราะโลกของมันร้อนขึ้นหรือเย็นลงอย่างควบคุมไม่ได้[90]บนโลกของเรา มีเหตุการณ์สูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ๆ ที่ได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนโดยมากในเวลานั้นการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดีที่สุดเหตุการณ์เหล่านี้เชื่อว่ามีเหตุจากการวิ่งกระทบโลกของอุกกาบาตขนาดใหญ่ การระเบิดภูเขาไฟครั้งใหญ่ หรือเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น แสงวาบรังสีแกมมา (gamma-ray burst)[91]อาจเป็นไปได้ว่า เหตการณ์เช่นนี้สามัญทั่วเอกภพและฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดเป็นระยะ ๆ หรืออย่างน้อยก็ทำลายอารยธรรม ก่อนที่จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่สื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกโลกตัวเองได้[92]

สมมติฐานเอกภพมีจำนวนเฟ้อ

นักจักรวาลวิทยาอัลแลน กูธ เสนอการแก้ปัญหาของแฟร์มีด้วยแนวคิดทาง multiverse[upper-alpha 6]เป็นสมมติฐานที่สมมุติว่ามี synchronous gauge probability distribution โดยมีผลว่า เอกภพใหม่ ๆ จะมีมากกว่าเอกภพเก่า ๆ อย่างมหาศาล (เป็น e1037 เท่าทุก ๆ วินาที)ดังนั้น เมื่อเฉลี่ยทั่วเอกภพทั้งหมด เอกภพเกือบทั้งหมดที่มีอารยธรรมก็จะมีเพียงแค่อารยธรรมเดียวคือที่เกิดเป็นแห่งแรก

แต่กูธก็ได้ให้ข้อสังเกตว่า นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเซติจึงยังไม่พบสัญญาณจะอารยธรรมสิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นไปได้มากกว่าที่ synchronous gauge probability distribution ไม่ถูกต้อง[94]

อารยธรรมที่ชาญฉลาดอยู่ห่างกันตามปริภูมิหรือเวลา

ไอเดียกล้องโทรทัศน์หาดาวเคราะห์คล้ายโลก (Terrestrial Planet Finder) ของนาซา

เป็นไปได้ว่า อารยธรรมที่มีเทคโนโลยีไม่ก้าวหน้าพอจะยึดครองดาราจักรมีอยู่ แต่อยู่ห่างเกินที่จะสื่อสารกันได้[95]ถ้าอารยธรรมสองแห่งห่างกันหลายพันปีแสง ก็เป็นไปได้ว่าอารยธรรมหนึ่ง ๆ หรือทั้งสองสูญพันธ์ก่อนที่จะสื่อสารกันได้มนุษย์อาจพบอารยธรรมนอกโลกจริง ๆ แต่การสื่อสารจะเป็นไปไม่ได้เพราะห่างกันเกินไปจึงมีการเสนอว่า การใช้เครื่องสื่อสารอัตโนมัติข้ามดวงดาว (Bracewell probe) จะแก้ปัญหานี้ได้เป็นบางส่วนในกรณีนี้ อย่างน้อย ๆ ฝ่ายหนึ่งก็จะสามารถได้ข้อมูลที่มีประโยชน์

อีกอย่างหนึ่ง อารยธรรมหนึ่ง ๆ อาจแพร่สัญญาณส่งความรู้ที่ตนมีทั้งหมด แล้วให้ผู้รับจัดการกับข้อมูลนั้นเองซึ่งคล้ายกับข้อมูลที่ได้จากอารยธรรมโบราณ[96]มนุษย์สามารถส่งข้อมูลคล้ายกับที่ทำในข้อความอาเรซีโบ (Arecibo message) คือส่งข้อมูลเกี่ยวกับสปีชีส์ที่ชาญฉลาดในโลก แม้อาจจะไม่ได้รับคำตอบหรือไม่ได้เร็วพอก่อนที่จะไม่เหลือคนรับยังเป็นไปด้วยว่า อาจมีหลักฐานทางโบราณคดีของอารยธรรมในอดีตที่สามารถตรวจจับได้จากอวกาศในระยะทางไกล ๆ[97]

คาร์ล เซแกนกับผู้ร่วมเขียนหนังสือยังเสนอด้วยว่า ถ้ามีอารยธรรมอื่นที่กำลังส่งข้อมูลหรือส่งเครื่องสำรวจ สัญญาณหรือเครื่องสำรวจที่ว่ายังอาจมาไม่ถึง[98]แต่ผู้ไม่เห็นด้วยก็ให้ข้อสังเกตว่า เป็นไปได้น้อย เพราะนี่สมมุติว่า ความก้าวหน้าของมนุษย์เกิดขึ้นในเวลาที่พิเศษมาก คือในขณะที่ดาราจักรทางช้างเผือกกำลังเปลี่ยนสถานะจากไม่มีใคร ๆ ไปเป็นมีอารยธรรมจำนวนมากเพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่สั้นมากตามกาลของดาราจักรถ้าใช้ข้อสมมุติและค่าการคำนวณธรรมดา ๆ ดังนั้น โอกาสว่าเราอยู่ในช่วงเวลาที่ดาราจักรกำลังเปลี่ยนสถานะมีน้อยมาก[99]

ไม่มีทรัพยากรเพื่อขยายที่อยู่ไปทั่วดาราจักร

ความสามารถในการไปยึดครองระบบสุริยะอื่น ๆ จะขึ้นอยู่กับการเดินทางไปที่ระบบดวงดาวอื่นได้แม้ความรู้ทางฟิสิกส์ปัจจุบันจะกันว่า ไม่สามารถเดินทางไวกว่าแสงได้แต่ก็ไม่จำกัดการสร้างยานเดินทางข้ามดวงดาวที่ไป "ช้า ๆ" แม้วิศวกรรมที่จำเป็นก็ยังเกินสมรรถภาพของมนุษย์ในปัจจุบันนี้เป็นฐานของแนวคิดว่า เครื่องสำรวจดวงดาวที่ผลิตตนเองซ้ำได้ (Von Neumann probe) และเครื่องสื่อสารอัตโนมัติข้ามดวงดาว (Bracewell probe) ที่อาจพบ สามารถเป็นหลักฐานของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดนอกโลกได้

แต่ก็เป็นไปได้ด้วยว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้ว่า การเข้ายึดครองระบบสุริยะต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายเท่าไรหรือเป็นไปได้หรือไม่ข้อจำกัดจริง ๆ อาจยังไม่ปรากฏ และทรัพยากรเพื่อทำกิจเช่นนั้นอาจมากจนกระทั่งว่า ไม่มีอารยธรรมใด ๆ ที่สามารถทำได้แม้ถ้าการเดินทางระหว่างดวงดาวและการเข้ายึดครองระบบดาวอื่นอาจเป็นไปได้ แต่ก็อาจยากจนกระทั่งต้องเป็นตามรูปแบบของ percolation theory[100]คือ การสร้างอาณานิคมในระบบอื่น ๆ จะไม่แพร่กระจายกระทำอย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นไปในรูปแบบไม่สม่ำเสมอที่ค่อย ๆ "ซึม" ออกเรื่อย ๆ ซึ่งในที่สุดก็จะช้าหรือหยุดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายมหาศาล และเนื่องจากความคาดว่า อาณานิคมใหม่ ๆ ที่สร้างขึ้นในที่สุดก็จะมีวัฒนธรรมและอารยธรรมเป็นของตนเองการสร้างอาณานิคมจึงค่อย ๆ กระจายแบบเกาะกลุ่ม ดังนั้น ณ เวลาจุดใดจุดหนึ่ง ก็จะมีเขตขนาดมหาศาลที่ยังว่างเปล่า[100]

การส่งหน่วยงานที่ชาญฉลาดเพื่อการสำรวจถูกกว่า

ถ้าสามารถสร้างโปรแกรม/หน่วยงานที่ชาญฉลาดในระดับมนุษย์ในเครื่องกลเช่นคอมพิวเตอร์ เช่น ตามแนวคิดที่พบในนิยายวิทยาศาสตร์คือการอัปโหลดจิตใจ (mind uploading) และส่งข้อมูลหน่วยงานเช่นนี้ไปได้ไกล ๆ แล้วสามารถดำเนินงานหน่วยงานนั้นต่อในเครื่องกลซึ่งอยู่ที่นั่น การเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ในดาราจักรด้วยยานอวกาศ ก็อาจจะไม่คุ้มค่าคือเมื่ออารยธรรมแรกสุดได้สำรวจและเข้ายึดครองดาราจักร และส่งเครื่องกลเช่นนี้ไปในระบบดาวต่าง ๆ เพื่อให้สำรวจได้ง่าย และเมื่ออารยธรรมต่อ ๆ มาได้ติดต่อกับอารยธรรมแรกได้แล้ว อารยธรรมต่อ ๆ มาก็อาจสำรวจดาราจักรได้ถูกกว่า เร็วกว่า และง่ายกว่าโดยส่งหน่วยงานอันชาญฉลาดเช่นนี้ ไปยังเครื่องกลในที่ต่าง ๆ ซึ่งอารยธรรมแรกได้สร้าง อันคาดว่าจะถูกกว่าการเดินทางด้วยยานอวกาศเป็น 108-1017 เท่าแต่เพราะระบบดาวหนึ่ง ๆ จำเป็นต้องมีเครื่องกลเช่นนี้แค่เครื่องเดียว และการสื่อสารกับมันก็น่าจะกำหนดทิศทางอย่างเฉพาะเจาะจง (คือไม่ได้แพร่สัญญาณ) ใช้คลื่นความถี่สูงมาก และใช้แรงส่งต่ำสุด อุปกรณ์บนโลกก็จะตรวจจับสัญญาณเช่นนี้ได้ยาก[101]

มนุษยชาติยังไม่อยู่นานพอ

สมรรถภาพของมนุษย์ในการตรวจจับสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ชาญฉลาด พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน คือตั้งแต่ปี 1937 ซึ่งได้ประดิษฐ์เครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุทางไกล คลื่นวิทยุก็เริ่มส่งเพียงตั้งแต่ปี 1895 Homo sapiens เองก็เป็นสปีชีส์ที่มีอยู่เพียงไม่นานเมื่อเทียบกับธรณีกาล เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของอายุจักรวาลดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่ามนุษย์ยังไม่มีอยู่นานพอที่มนุษย์ต่างดาวผู้มีสติปัญญาจะตรวจจับได้[102]

เรารับฟังสัญญาณอย่างไม่ถูกต้อง

นักวิจัยในโครงการเซติมีข้อสมมุติบางอย่างที่อาจทำให้พลาดรับสัญญาณที่มีอยู่แล้วยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ต่างดาวอาจส่งข้อมูลในอัตราที่สูงมากหรือต่ำมาก หรือใช้ความถี่ที่มนุษย์ไม่คุ้นเคย ทำให้แยกแยะสัญญาณสื่อสารจากสัญญาณที่เป็นเสียงรบกวนพื้นหลังไม่ได้สัญญาณอาจมาจากระบบดาวที่ไม่ได้อยู่ในแถบลำดับหลัก (คือไม่ใช่ดาวแคระ) ซึ่งเราไม่ให้ความสำคัญเพราะโปรแกรมเซติในปัจจุบันสมมุติว่า สิ่งมีชีวิตนอกโลกจะอยู่รอบ ๆ ดาวคล้ายดวงอาทิตย์[103]

ข้อท้าทายหลักก็คือขนาดปริภูมิที่ต้องสืบหาสัญญาณคลื่นวิทยุ (เท่ากับสืบหาสัญญาณจากเอกภพที่สังเกตได้) ทรัพยากรจำกัดที่โครงการเซติมี และความไวสัญญาณของอุปกรณ์ในปัจจุบันยกตัวอย่างเช่น เซติประเมินว่า ถ้ามีเครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุทางไกลไวเท่ากับของหอสังเกตการณ์อาเรซีโบ สัญญาณโทรทัศน์และวิทยุจากโลกสามารถตรวจจับได้ภายในระยะเพียง 0.3 ปีแสง ซึ่งเป็นระยะแค่ 1/10 ระหว่างโลกกับดาวฤกษ์นอกระบบที่ใกล้สุดสัญญาณจะตรวจจับได้ง่ายกว่าถ้าจำกัดให้มีแถบความถี่แคบ (narrowband) หรือสืบหาที่จุดโดยเฉพาะ ๆ ในท้องฟ้าคือสามารถตรวจจับได้เป็นระยะหมื่น ๆ จนถึงแสน ๆ ปีแสง[104]

แต่นี่ก็หมายความว่า เครื่องตรวจจับจะต้องฟังสัญญาณในแถบความถี่ที่ถูกต้อง และอยู่ในเขตปริภูมิที่ถูกต้องใกล้กับเป้าหมายที่ส่งสัญญาณการสืบหาของเซติโดยมากสมมุติว่า อารยธรรมสิ่งมีชีวิตนอกโลกจะจงใจแพร่สัญญาณ เช่นที่มนุษย์ทำในข้อความอาเรซีโบ เพื่อให้คนอื่นหาเจอ

ดังนั้น เพื่อให้ค้นพบอารยธรรมนอกโลกด้วยคลื่นวิทยุที่ปล่อย ผู้สังเกตการณ์ในโลกจะต้องมีอุปกรณ์ที่ไวกว่านี้หรือโชคดีคือสัญญาณวิทยุแถบความถี่กว้างที่เทคโนโลยีนอกโลกใช้ จะต้องแรงกว่าของมนุษย์มากหรือโปรแกรมบางโปรแกรมของเซติกำลังดักฟังสัญญาณที่ความถี่อันถูกต้องจากบริเวณอวกาศที่ถูกต้องหรือสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้จงใจส่งสัญญาณมาในทิศทางของโลกโดยเฉพาะ

อารยธรรมแพร่สัญญาณวิทยุที่ตรวจจับได้เพียงแค่ระยะสั้น ๆ

เป็นไปได้ว่าอาจตรวจจับการปล่อยคลื่นวิทยุของสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้เพียงแค่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งลดโอกาสที่จะเจอคือปกติจะสมมุติว่า อารยธรรมในที่สุดก็จะก้าวหน้าขึ้นเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีอื่น[105]อย่างไรก็ดี แม้วิทยุจะไม่ใช้เพื่อการสื่อสาร แต่ก็อาจใช้เพื่อการอื่น เช่น การส่งพลังงานจากดาวเทียมเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งก็ยังตรวจจับได้แม้หลังการแพร่สัญญาณการสื่อสารได้เปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่สังเกตได้ยากกว่าอื่น ๆ[106]

อนึ่ง อารยธรรมสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจก้าวหน้าเกินกว่าที่จะแพร่สัญญาณในสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้าใด ๆ โดยประการทั้งปวงเพราะสื่อสารด้วยเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์บางพวกคาดว่า อารยธรรมที่ก้าวหน้าอาจส่งสัญญาณทางนิวทริโน[107]ถ้ามีสัญญาณเช่นนี้จริง ๆ ก็อาจตรวจจับได้ด้วยเครื่องตรวจจับนิวทริโนที่กำลังสร้างเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ[108]

พวกเขามักจะแยกตัวอยู่

มีการเสนอว่า สิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าบางพวกอาจเปลื้องกายของตนเอง คือสร้างสิ่งแวดล้อมประดิษฐ์เสมือนขนาดยักษ์ แล้วอัปโหลดจิตใจของตนเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ จึงไม่ต้องสนใจเอกภพภายนอกอีกต่อไป[109]

อาจเป็นไปได้ด้วยว่า สิ่งมีชีวิตเช่นนี้อาจจะไม่สนใจโลกภายนอกขึ้นเรื่อย ๆ[110]เป็นไปได้ว่า สังคมที่ก้าวหน้าพอจะพัฒนาการบันเทิงและสื่อที่ต้องตาต้องใจมาก ก่อนจะสามารถเดินทางไปในอวกาศ โดยสื่ออาจจะน่าสนใจกว่าความดิ้นรนเพื่อสำรวจอวกาศและสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เพราะง่ายกว่าเมื่ออารยธรรมก้าวหน้าพอจะควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตนได้ และเทคโนโลยีสามารถสนองความต้องการของร่างกายได้ เทคโนโลยีทางสังคมและการบันเทิงรวมทั้งความจริงเสมือน คาดว่า จะกลายเป็นแรงผลักดันและแรงจูงใจหลักของอารยธรรมนั้น ๆ[111]

แปลกเกินที่จะเข้าใจได้

เป็นไปได้ว่า สิ่งมีชีวิตนอกโลกแตกต่างกับสิ่งมีชีวิตในโลกมากกว่าที่นักทฤษฎีประเมินเช่น สิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ต้องการสื่อสารกับมนุษย์บางทีคณิตศาสตร์ของมนุษย์อาจไม่ใช้ร่วมกันทั่วไปกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ[112]แต่นักวิชาการอื่นก็อ้างว่า นี่จะเป็นได้ก็แต่คณิตศาสตร์เชิงนามธรรม (abstract math) เท่านั้น เพราะคณิตศาสตร์ที่สัมพันธ์กับฟิสิกส์ต้องให้ผลคล้ายกัน[113]

สรีระอาจเป็นตัวกั้นการสื่อสารคาร์ล เซแกนคาดว่า มนุษย์ต่างดาวอาจคิดได้ช้าหรือเร็วกว่ามนุษย์มาก[114]ดังนั้น การแพร่ข้อความของสิ่งมีชีวิตเช่นนั้นก็จะดูเหมือนกับเสียงรบกวนพื้นหลังที่เป็นไปโดยสุ่มสำหรับมนุษย์ จึงตรวจจับไม่ได้

แนวคิดอีกอย่างก็คือสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในที่สุดก็จะเกิดภาวะเอกฐานทางเทคโนโลยี[upper-alpha 7]แล้วเกิดวัฒนาการทางสังคมและทางเทคโนโลยีที่ไม่ต้องพึ่งสภาพทางชีววิทยา (postbiological evolution) อีกต่อไปอารยธรรมสมมุติเช่นนี้ อาจก้าวหน้าเกินกว่าที่จะสื่อสารด้วยได้[116][117]

ทุกคนกำลังรับฟังอยู่ แต่ไม่มีใครส่งสัญญาณ

อารยธรรมนอกโลกอาจมีเทคโนโลยีที่สามารถติดต่อกับโลก แต่กลับเพียงแค่รับฟังแทนที่จะส่งสัญญาณติดต่อ[118]ถ้าอารยธรรมทั้งหมดหรือแม้แต่โดยมากทำอย่างเดียวกัน ดาราจักรก็จะมีอารยธรรมมากมายที่ต้องการการติดต่อ แต่ทุกคนก็เพียงแต่ฟังและไม่มีใครส่งสัญญาณนี้ได้ชื่อว่า ปฏิทรรศน์เซติ (SETI Paradox)[119]

ตัวอย่างอารยธรรมเดียวที่รู้จักก็คือของมนุษย์เอง ซึ่งไม่จงใจส่งสัญญาณยกเว้นเป็นครั้งเป็นคราว[118]และแม้การทำเป็นครั้งเป็นคราวเช่นนี้ โดยเฉพาะถ้าเพิ่มความพยายาม ก็สร้างความขัดแย้ง[120]

ถ้าเราตรวจเจอสัญญาณ ก็ไม่แน่ว่าเราจะส่งสัญญาณตอบ นโยบายทางการของชุมชนเซติก็คือ[121]ไม่ควรส่งสัญญาณหรือหลักฐานว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดจนกระทั่งได้ปรึกษาหารือกับนานาชาติแต่เพราะผลที่อาจเกิดเมื่อตอบสัญญาณ[122]ก็อาจหามติร่วมกันได้ยากมากว่า ใครเป็นผู้แทนของโลก และควรจะกล่าวอะไร

ตั้งใจไม่ติดต่อโลก/สมมติฐานสวนสัตว์

ผังแสดงท้องฟ้าจำลองที่สร้างภาพเอกภพให้มนุษย์ดู เอกภพของจริงอยู่นอกวงกลมสีดำ

สมมติฐานสวนสัตว์ (zoo hypothesis) ระบุว่า มีสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ชาญฉลาดจริง ๆ แต่ไม่ติดต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเพื่อให้วิวัฒนาการเป็นไปตามธรรมชาติ[123]แต่สมมติฐานนี้ต้องมีเหตุจูงใจร่วมกันของสิ่งมีชีวิตนอกโลกทั้งหมด แม้เพียงแค่วัฒนธรรมหรืออารยธรรมเดียวที่ตัดสินใจไม่ทำตามกฎนี้ ก็ทำอะไรให้มนุษย์เห็นได้แล้ว การทำผิดกฎเช่นนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นตามจำนวนอารยธรรมที่ต้องมีเหตุจูงใจร่วมกัน[18]

เมื่อใช้ข้อสมมุติทางดาราศาสตร์และชีววิทยาทั่วไป การวิเคราะห์ระยะเวลาในระหว่างการเกิดอารยธรรมในดาราจักรก็แสดงว่า อารยธรรมแรกสุดจะนำหน้าอารยธรรมต่อ ๆ มาอย่างมากดังนั้น จึงอาจสามารถตั้งกฎเช่นนี้โดยบังคับหรือโดยกลายเป็นพฤติกรรมปกติในดาราจักร/ในเอกภพ ซึ่งเท่ากับการสร้างปฏิทรรศน์นี้อาศัยอิทธิพลทางวัฒนธรรมของผู้ก่อตั้งแม้จะไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น[124]

โลกถูกแยกออกอย่างตั้งใจ/สมมติฐานท้องฟ้าจำลอง

ไอเดียอีกอย่างหนึ่งที่คล้ายกับสมมติฐานสวนสัตว์ก็คือ ถ้าไกลออกจากโลกไปสักระยะหนึ่ง เอกภพที่รู้อาจเป็นความจริงเสมือน สมมติฐานท้องฟ้าจำลอง (planetarium hypothesis) นี้[125]คาดว่าสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้สร้างเอกภพจำลองนี้ให้ปรากฏว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ

การสื่อสารเป็นอันตราย

อารยธรรมสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจรู้สึกว่า การสื่อสารเป็นอันตราย ไม่ว่าจะสำหรับพวกเขาหรือเราคือ เมื่ออารยธรรมต่าง ๆ ในโลกมาประสบกัน ผลมักจะเป็นความวิบัติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นจริงสำหรับอารยธรรมระหว่างดวงดาวเช่นกันแม้การติดต่อกันในระยะไกล ๆ ก็อาจจะทำให้คอมพิวเตอร์ติดเชื้อได้[126]หรืออาจเปลี่ยนความคิดอย่างมีผลลบ[127]บางทีอารยธรรมที่รอบคอบอาจจะซ่อนตนไม่ใช่จากโลกเราเท่านั้น แต่จากทุก ๆ โลก เพราะกลัวว่าจะทำลายซึ่งกันและกัน[128]

ปฏิทรรศน์ของแฟร์มีเอง หรือแนวคิดคล้าย ๆ กันที่มนุษย์ต่างดาวมี บางทีอาจเป็นเหตุผลที่อารยธรรมหนึ่ง ๆ เลี่ยงติดต่อกับผู้อื่นแม้จะไม่มีอุปสรรคใด ๆคือ จากมุมมองของอารยธรรมนั้น ๆ ตนไม่น่าจะเป็นอารยธรรมแรกที่พยายามติดต่อกับอารยธรรมอื่น ๆ อารยธรรมก่อน ๆ ที่พยายามติดต่อจึงต้องได้ประสบปัญหาถึงตายเพราะการติดต่อนั้น ๆ ดังนั้น ตนเองควรจะเลี่ยงบางทีอารยธรรมทุก ๆ แห่งอาจเงียบไม่ส่งสัญญาณ เพราะมีเหตุผลที่ควรทำเช่นนั้น[30]

ทฤษฎีความจริงปลอม (Simulation Theory)

คล้ายกับสมมติฐานท้องฟ้าจำลอง ทฤษฎีนี้ระบุว่า สิ่งที่เรารู้เห็นจริง ๆ เป็นความจริงปลอมที่มนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดกว่าได้สร้างขึ้นซึ่งอาจทำโดยไม่รวมสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกจากที่พบในโลก หรืออาจยังไม่ใส่มนุษย์ต่างดาวในความจริงปลอมนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดกว่าพวกเขาเอง และก็ยังไม่ได้ติดต่อกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก

มาแล้วแต่มองไม่เห็น

เป็นไปได้ว่า อารยธรรมที่ก้าวหน้าพอสามารถเดินทางข้ามดวงดาว ได้มาเยี่ยมและสังเกตดูโลกของเราโดยที่ไม่ให้เรารู้เห็นได้[129]

มาแล้วแต่ยังไม่ยอมรับ

ประชากรส่วนหนึ่งของโลกเชื่อว่า มียูเอฟโอ (วัตถุบินในอากาศที่ไม่สามารถระบุ) ซึ่งเป็นยานอวกาศที่มีมนุษย์ต่างดาวขับ[130][131]แม้สิ่งที่เคยเห็นโดยมากจะระบุไม่ได้หรือเป็นการตีความเหตุการณ์ธรรมชาติ/ธรรมดาผิด ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่น่าประหลาดใจแม้หลังจากได้ตรวจสอบแล้วความเห็นพ้องทางวิทยาศาสตร์ก็คือว่า แม้จะยังอธิบายไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักฐานว่ามีมนุษย์ต่างดาว/ยูเอฟโอที่น่าเชื่อถือ[132]

โดยเช่นกัน อาจเป็นไปได้ว่า กลุ่มทำการเซติต่าง ๆ ไม่ยอมรายงานการตรวจพบร่องรอยของมนุษย์ต่างดาว หรือรัฐบาลได้สกัดสัญญาณ หรือเซ็นเซอร์รายงานเพราะเหตุทางความมั่นคงหรือทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีนอกโลกที่ก้าวหน้ามีการเสนอว่า การตรวจจับสัญญาณคลื่นวิทยุหรือเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวได้ อาจเป็นข้อมูลราชการที่ปิดลับเข้มสุด[133]สื่อข่าวได้นิยมกล่าวอย่างสามัญว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว[134][135]แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องล้วนรายงานกลับกัน คือผู้สื่อข่าวมักได้ข้อมูลรั่วแล้วทำเป็นเรื่องน่าสนใจก่อนจะสามารถยืนยันว่าได้ค้นพบอะไรเช่นนั้นจริง ๆ[136]

ใกล้เคียง

ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี ปฏิทรรศน์ฝาแฝด ปฏิทรรศน์อีกา ปฏิทรรศน์ ปฏิทรรศน์ของอ็อลเบิร์ส ปฏิทรรศน์ของรัสเซิลล์ ปฏิทรรศน์แนวชายฝั่ง ปฏิทินจีน ปฏิทินฮิจเราะห์ ปฏิทินสุริยคติไทย

แหล่งที่มา

WikiPedia: ปฏิทรรศน์ของแฟร์มี http://astrobiology.com/2016/01/the-aliens-are-sil... http://www.britannica.com/topic/star-astronomy http://news.discovery.com/space/alien-life-exoplan... http://news.discovery.com/space/why-do-people-beli... http://supercommunity.e-flux.com/texts/the-great-s... http://www.geoffreylandis.com/percolation.htp http://www.huffingtonpost.com/2011/12/06/new-round... http://www.huffingtonpost.com/2012/10/15/alien-bel... http://www.huffingtonpost.com/wait-but-why/the-fer... http://www.nature.com/scientificamerican/journal/v...