ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย[ก] (
อังกฤษ: colony collapse disorder, ย่อ: CCD) เป็นปรากฏการณ์ที่ผึ้งงานจากรังหรือนิคม
ผึ้งพันธุ์ (Western honey bee) หายไปอย่างฉับพลัน การหายไปดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดประวัติศาสตร์
การเลี้ยงผึ้ง และรู้จักกันในหลายชื่อ
[ข] ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ "colony collapse disorder" ในปลายปี 2549
[1] พร้อมกับการหายไปของนิคมผึ้งพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นมากในขณะนั้น
[2] ผู้เลี้ยงผึ้งสังเกตปรากฏการณ์ที่คล้ายกันในเบลเยียม ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ กรีซ อิตาลี โปรตุเกสและสเปน
[3] และยังมีรายงานเบื้องต้นมาจากสวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี แม้ว่าจะรุนแรงน้อยกว่า
[4] ขณะที่สมัชชาไอร์แลนด์เหนือได้รับรายงานการลดจำนวนกว่า 50%
[5]การใช้ยาฆ่าแมลงกลุ่ม
นีโอนิโคตินอยด์ (neonicotinoid) เช่น
อะเซทามิปริด (acetamiprid)
โคลไธอานิดิน (clothianidin) และ
อิมิดาโคลไพรด์ (imidacloprid) ซึ่งเป็นหนึ่งใน
สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก ที่เพิ่มขึ้น ตามติดการตายของผึ้งที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2548
[6] ในปี 2555 การศึกษาอิสระที่ผ่านการกลั่นกรองจำนวนมากได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งแสดงว่านีโอนิโคตินอยด์มีช่องทางการสัมผัสซึ่งตรวจจับไม่ได้ที่กระทบต่อผึ้ง เช่น ผ่านฝุ่น เรณู และน้ำต้อย
[7] ว่าความเป็นพิษต่ำกว่านาโนกรัมส่งผลให้ผึ้งไม่สามารถบินกลับรังโดยไม่ทำให้ถึงตายทันที
[8] ซึ่งเป็นอาการหลักของปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลาย
[9] และบ่งชี้ว่ามีนีโอนิโคตินอยด์ในสิ่งแวดล้อมในเหมืองฝายและดิน
[10] การศึกษาเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการทบทวนอย่างเป็นทางการในปี 2556 โดยองค์การความปลอดภัยอาหารยุโรป ที่ระบุว่า นีโอนิโคตินอยด์ก่อความเสี่ยงสูงอย่างยอมรับไม่ได้แก่ผึ้ง และว่าการอ้างความปลอดภัยของหน่วยงานกำกับดูแลที่ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์ที่อุตสาหกรรมเป็นผู้อุปถัมภ์นั้นมีข้อบกพร่อง
[11] ปรากฏการณ์รังผึ้งล่มสลายอาจเกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน
[12][13][14][15] ในปี 2550 บางหน่วยงานให้เหตุผลว่าปัญหาเกิดจากปัจจัย
ชีวนะ เช่น เห็บ Varroa
[16] ปรสิต Nosema apis และไวรัสอัมพาตฉับพลันอิสราเอล
[17][18] ปัจจัยส่งเสริมอื่นอาจรวมความเครียดที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
[19] ทุพโภชนาการ และการเลี้ยงผึ้งแบบย้ายถิ่น อีกการศึกษาหนึ่งในปี 2555 ยังชี้หลายสาเหตุ ซึ่งระบุรายการสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ไว้หลังเห็บ Varroa พันธุกรรม การสูญเสียถิ่นที่อยู่ และโภชนาการที่เลว
[20]การล่มสลายของรังผึ้งนั้นมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพราะพืชผลการเกษตรหลายชนิดทั่วโลกต้องอาศัยผึ้งพันธุ์
ถ่ายเรณู ในเดือนเมษายน 2556
สหภาพยุโรปประกาศแผนจำกัดการใช้สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดเพื่อกันมิให้ประชากรผึ้งลดลงกว่านี้
[21] และเมื่อสิ้นเดือนนั้น ได้ผ่านกฎหมายซึ่งห้ามการใช้นีโอนิโคตินอยด์หลายชนิดเป็นเวลาสองปี
[22] การขาดแคลนผึ้งในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มค่าใช้จ่ายของเกษตรกรที่จะต้องเช่าผึ้งมาถ่ายเรณูสูงสุดถึง 20%