คำจำกัดความ ของ ปราสาท

ที่มาของความหมาย

“หอขาว” ของนอร์มัน, ตัวตึกหลักของปราสาท (keep) ของหอคอยแห่งลอนดอนเป็นตัวอย่างของการใช้ปราสาทในการเป็นสถานที่ในการป้องกันข้าศึก, ในการเป็นที่อยู่อาศัย และในการเป็นที่หลบภัยในยามที่เกิดวิกฤติกาล อาลัมบราแบบมัวร์ในสเปนเป็นตัวอย่างของปราสาทที่วิวัฒนาการมาเป็นวังหลังจากการเรกองกิสตา (Reconquista)

คำว่าปราสาทในภาษาอังกฤษ “Castle” มาจากภาษาละติน “Castellum” แปลงเป็น “castrum” ที่แปลว่า “สิ่งก่อสร้างที่สร้างเสริม” ในภาษาอังกฤษเก่า ปราสาทใช้คำว่า “castel”, ภาษาฝรั่งเศส “château”, ภาษาสเปน “castillo”, ภาษาอิตาลี castel “castello” และภาษายุโรปอื่น ๆ ต่างก็มาจากคำว่า “castellum”[1] คำว่า “castle” เข้ามาในภาษาอังกฤษไม่นานก่อนที่นอร์มันจะได้รับชัยชนะต่ออังกฤษ ที่หมายถึงสิ่งก่อสร้างที่เป็นป้อมที่ในขณะนั้นยังใหม่สำหรับอังกฤษ เป็นคำที่นำเข้ามาใช้โดยขุนนางนอร์มันที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพนำตัวเข้ามาในอังกฤษและส่งไปแฮรฟอร์ดเชอร์เพื่อต่อต้านการรุกรานของเวลส์

ภาษาฝรั่งเศสเรียกปราสาทว่า “Château-Fort” ถ้าเรียกใช้เพียงคำว่า “Château” ก็จะเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัง หรือคฤหาสน์ชนบทที่ตั้งอยู่กลางบริเวณใหญ่ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นปกครองหรือผู้มีอันจะกินเท่านั้นโดยไม่มีประโยชน์ในการใช้สอยทางการทหารแต่อย่างใด ต่อมาปราสาทในยุโรปวิวัฒนาการและขยายให้ใหญ่โตขึ้นเพื่อใช้ในการเป็นที่อยู่อาศัยอย่างหรูหราในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 ฉะนั้นบางปราสาทก็ยังรักษาชื่อว่าเป็นปราสาทอยู่ ทั้ง ๆ ที่การต่อเติมใหม่เป็นการทำให้ไม่มีประโยชน์ทางการทหารแล้ว ในสเปนขณะที่ “Castile” ใช้สำหรับปราสาท แต่สิ่งก่อสร้างที่สร้างเสริมสำหรับการป้องกันข้าศึกยังคงใช้ชื่อมัวร์ว่า “alcázar” ขณะที่ “ชิโร” เป็นคำที่ใช้กันในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เป็นที่พำนักของไดเมียว ในเยอรมนีคำสำหรับปราสาทมีสองคำ “burg” และ “schloss” “burg” หรือปราสาท เป็นสิ่งก่อสร้างจากสมัยกลางที่มีประโยชน์ทางการทหาร ขณะที่ “schloss” หรือวังหมายถึงสิ่งก่อสร้างหลังยุคกลางเป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่มีประโยชน์ทางการทหาร

ลักษณะของปราสาท

ตามความหมายอย่างกว้าง ๆ ความหมายของคำว่าปราสาทที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในบรรดานักวิชาการคือเป็น “ที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลที่มีการสร้างเสริมระบบป้องกัน”[2] ซึ่งไม่เหมือนกับค่ายของแองโกล-แซ็กซอน หรือ กำแพงเมือง เช่นที่คอนสแตนติโนเปิล และ อันติโอคในตะวันออกกลาง ปราสาทมิใช่ระบบการป้องกันของประชาคม แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างและเป็นของลอร์ดของระบบเจ้าขุลมูลนาย ที่อาจจะเป็นของตนเองหรือปกครองในนามของพระมหากษัตริย์[3] ระบบเจ้าขุลมูลนายเป็นระบบของความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและผู้อยู่ในฐานะบริวาร (vassal) ผู้ทำหน้าที่เป็นทหารเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการได้รับที่ดินที่ใช้ในการทำมาหากิน[4] ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็มีแนวโน้มที่จะสร้างคำจำกัดความของปราสาทกันขึ้นใหม่ที่รวมทั้งกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบเจ้าขุลมูลนายเพื่อที่จะให้ลงตัวกับความเป็นอยู่และระบบของยุคกลาง แต่คำจำกัดความดังว่าก็มิได้สะท้อนถึงสิ่งที่ผู้คนในยุคกลางเรียกว่าปราสาท ระหว่างสงครามครูเสดครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1096ค.ศ. 1099) กองทัพแฟรงค์เรียกที่ตั้งถิ่นฐานที่ล้อมรอบด้วยกำแพง หรือ ป้อมว่าปราสาท ที่เมื่อใช้กฎเกณฑ์ตามหลักที่วางไว้ในปัจจุบันแล้วก็จะไม่ถือว่าเป็นปราสาท[2]

ปราสาทใช้ประโยชน์ได้หลายประการ แต่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือในทางการทหาร, ในการเป็นสถานที่สำหรับการบริหาร, และในการเป็นที่อยู่อาศัย นอกจากการเป็นสถานที่ใช้ในกันป้องกันจากการโจมตีของข้าศึกแล้ว ในขณะเดียวกันปราสาทก็ใช้เป็นที่มั่นในการบริหารเมื่อตั้งอยู่ในดินแดนของศัตรูด้วย การใช้ปราสาทเป็นเครื่องมือทั้งในการป้องกันและโจมตีข้าศึกจะเห็นได้จากการสร้างปราสาทโดยนอร์มันเมื่อมารุกรานอังกฤษ ในการกำราบประชากรของชนชาติที่ทำการพิชิตจากการก่อความไม่สงบได้[5] เมื่อสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษทรงเดินทัพคืบหน้าเข้าไปในดินแดนอังกฤษหลังจากที่ทรงพิชิตดินแดนในปี ค.ศ. 1066 ได้แล้ว พระองค์ก็จำเป็นต้องก่อสร้างปราสาทในจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ตามขึ้นไปเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงในดินแดนที่ทรงยึดมาได้ภายในครอบครอง ระหว่างปี ค.ศ. 1066 ถึง ค.ศ. 1087 พระเจ้าวิลเลียมก็ทรงก่อสร้างปราสาททั้งหมดราว 36 ปราสาทที่รวมทั้งปราสาทวอริคซึ่งเป็นปราสาทที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันการก่อความไม่สงบในบริเวณอังกฤษมิดแลนด์ส (English Midlands) [6][7]

ปราสาทของนอร์มันไม่เหมือนค่าย (Burh) ของแองโกล-แซ็กซอน ที่เป็นชุมชนที่มีสิ่งก่อสร้างรอบที่ใช้ในการป้องกันต้นเอง แต่เป็นปราสาทเป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นของเจ้าของปราสาทเท่านั้นไม่ใช่ของชุมชนที่มาพำนักอาศัยอยู่ภายใน[8] เมื่อมาถึงปลายยุคกลางประโยชน์ของปราสาททางการทหารก็ลดถอยลงไปเป็นลำดับเพราะการวิวัฒนาการของปืนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น[9] แต่ความสำคัญในการเป็นที่พำนักอาศัย และ ในการแสดงฐานะของผู้เป็นเจ้าของเพิ่มมากขึ้น[10]

บางครั้งคำว่าปราสาทก็ใช้กันในความหมายที่ไม่ถูกต้องนักกับโครงสร้างเช่นระบบการป้องกันของยุคเหล็ก เช่น ปราสาทเมดเดน, ดอร์เซ็ท ในอังกฤษ[11] ปราสาทอาจจะใช้เป็นที่มั่นหรือที่จำขังนักโทษด้วยเช่นในหอคอยแห่งลอนดอน[12] แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่เจ้าของปราสาทใช้ในการเลี้ยงรับรองแขกด้วย การใช้ปราสาทในกิจการต่าง ๆ ดังกล่างทำให้ปราสาทต่างจากป้อมตรงที่ป้อมมักจะใช้ในทางการป้องกันทหารเท่านั้น แม้ว่าความหมายของปราสาทจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คำว่า “ปราสาท” บางครั้งก็จะหมายถึง “เนินปราสาท” (Citadel) หรือปราสาทสมัยใหม่ที่จงใจสร้างในรูปทรงของปราสาทในยุคกลางด้วยก็ได้เช่นปราสาทนอยชวานชไตน์ในบาวาเรียที่สร้างโดยพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้น