อธิบายศัพท์เฉพาะ ของ ผมน่ะหรือคือราชาปีศาจ!

โลกทางโน้น, โลกทางนั้น, โลกฝั่งโน้น (異世界) โลกที่ยูริเดินทางกลับไปมา เป็นคำที่ใช้เรียกอย่างง่าย สภาพเศรษฐกิจสังคมที่นั่นคล้ายกับยุโรปยุคกลาง (หรือที่เรียกกันว่ายุคมืด) ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นก็คล้ายกับชาวตะวันตกทั้งสิ้นอาณาจักรเผ่าพันธุ์ปีศาจ (眞魔国) เป็นอาณาจักรของชนเผ่าปีศาจ ก่อตั้งโดยพระปฐมกษัตริย์(眞王)กับเหล่าทหารของพระองค์เมื่อราวๆ 4000 ปีก่อน ชื่ออย่างเป็นทางการของอาณาจักรคือ “อาณาจักรอันรุ่งเรืองของราชาองค์ใหม่ผู้ยิ่งใหญ่และประชาชนเผ่าปีศาจ ทุกสิ่งบนโลกล้วนก่อเกิดจากพวกเราเผ่าพันธุ์ปีศาจ ด้วยความกล้าหาญ เชาวน์ปัญญา และพลังอำนาจ ที่สามารถสยบได้แม้แต่พระเจ้าผู้สร้างโลก เผ่าพันธุ์ปีศาจจักต้องเจริญรุ่งเรืองสืบไป ชั่วนิรันดร์[7] แต่โดยปกติแล้วมักจะขนานนามอย่างลำลองว่า “อาณาจักรเผ่าพันธุ์ปีศาจ”ราชาปีศาจ (魔王) ตำแหน่งของพระเจ้าแผ่นดินแห่งอาณาจักรเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทั้งนี้การสืบราชสมบัติไม่ได้เป็นไปตามอย่างของโลกมนุษย์หรือแม้แต่อาณาจักรอื่นๆ ในโลกนั้นเองก็ตาม หากแต่ขึ้นอยู่กับพระบัญชาของพระปฐมกษัตริย์ทั้งสิ้น (ผ่านทางเทพพยากรณ์) นับแต่อดีตมาการขนานพระนามกษัตริย์จะเป็นไปตามแบบแผน คือ “พระราชา (พระนาม) ” หรือ “พระราชินี (พระนาม) ” แต่พอเข้ายุคสมัยใหม่ก็เริ่มเกิดการขนานพระนามตามกิจการที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติ เช่น “กษัตริย์นักบั่นคอ” หรือ “กษัตริย์จอมนองเลือด” เป็นต้น ยุคใดที่มีพระราชาผู้ทรงพระปรีชาสามารถ ตลอดจนทรงได้รับการเคารพเทิดทูนแล้ว เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของกษัตริย์องค์นั้นจะได้รับการสืบทอดสู่กษัตริย์รุ่นถัดมาอีกหลายรัชกาลเผ่าพันธุ์ปีศาจ (魔族) เผ่าพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรเผ่าพันธุ์ปีศาจ อายุขัยโดยเฉลี่ยแล้วจะยาวนายกว่ามนุษย์ราวๆ 5 เท่า แต่ละคนจะมีพลังเวทไม่เหมือนกัน ประชาชนเผ่าพันธุ์ปีศาจมักจะมีหน้าตาผิวพรรณที่สวยงาม บริสุทธิ์ผุดผ่อง (จนคนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่หล่อหรือสวยบางทีก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผ่าปีศาจก็มี) สำหรับชนเผ่ามนุษย์แล้ว เผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว และน่าขยะแขยงนอกจากนี้ ยังมีพวกลูกครึ่งระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ คนพวกนี้แม้จะไม่มีพลังปีศาจ แต่จะมีประสาทสัมผัสที่ไวและเก่งกว่ามนุษย์หลายเท่า แต่ดูเผินๆ แล้วภายนอกแทบไม่ได้แตกต่างกับมนุษย์เลย เพียงแค่คนพวกนี้จะมีอายุยืนกว่ามนุษย์ทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น ทำให้ลูกครึ่งบางคนไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นเลือดผสมผมดำและตาดำ (双黒) สำหรับชนเผ่าปีศาจแล้ว การมีผมและดวงตาเป็นสีดำนับว่าเป็นของสูงค่าและหาได้ยากยิ่งนัก มันเป็นหลักฐานที่บอกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจอย่างแน่นอน และจะทำให้สถานะหรือฐานันดรศักดิ์สูงกว่าขุนนางทั้งหมด (แต่ยังต่ำกว่ากษัตริย์) สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว สีดำหมายถึง ลางร้าย โชคไม่ดี หรืออาจจะหมายถึง ยาลับที่ทำให้ไม่แก่ไม่ตาย เป็นอมตะเวทปีศาจ (魔術) บทคาถาหรือสิ่งอื่นใดที่ใช้ในการต่อสู้ของชนเผ่าปีศาจ เป็นพลังที่มีแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจเท่านั้นที่จะครอบครองได้ การจะบังคับ “พลังปีศาจ” (魔力) เพื่อจะใช้เวทปีศาจได้นั้น จำต้องอาศัยพรสวรรค์ที่ติดมาแต่กำเนิด (มากับวิญญาณ) และต้องทำพันธสัญญากับธาตุใดธาตุหนึ่งก่อน จึงจะสามารถใช้พลังดังกล่าวได้ โดยมากผู้ที่ใช้เวทปีศาจได้จะเป็นชนชั้นขุนนางเพียงไม่กี่คน โดยปกติ ธาตุเพียงหนึ่งธาตุที่จะยอมรับพลังปีศาจแล้วยอมให้เราใช้เวทปีศาจควบคุมมันในการต่อสู้ได้ สำหรับพระราชายูริถือว่าเป็นข้อยกเว้นเนื่องจากทรงฤทธานุภาพมากจนธาตุทั้งหมดยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดีเวทศักดิ์สิทธิ์ (法術) มนุษย์จะเรียกร้องพลังจาก “บางสิ่งบางอย่าง” พลังที่ว่าไม่ได้มีติดตัวมาแต่กำเนิดดังเช่นพลังเวทของชนเผ่าปีศาจ แต่จำต้องได้รับการฝึกฝนอย่างหนักจึงจะสามารถใช้ “พลังศักดิ์สิทธิ์” (法力) ได้ และหากมี “ศิลาศักดิ์สิทธิ์” ด้วยแล้วจะยิ่งทำให้พลังกล้าแกร่งขึ้นมากสำหรับพวกเผ่าเทวดา ส่วนใหญ่มักจะมีพลังที่ว่าตั้งแต่กำเนิดกล่องต้องห้าม (禁忌の箱) กล่องที่พระปฐมกษัตริย์ทรงใช้พลังของพระองค์ปิดผนึก “สสารแห่งความพินาศ” ไว้ในกล่องสี่ใบ ซึ่งมีนามว่า “สุดขอบพสุธา” (地の果て) “จุดจบแห่งสายลม” (風の終わり) “ไฟโลกันตร์อันเย็นเฉียบ” (凍土の劫火) และ “ก้นบึ้งแห่งกระจก” (鏡の水底)แต่ละกล่องนั้นจะมีกุญแจอยู่ โดยการกำหนดส่วนของร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของคนที่ถูกเลือกให้เป็นกุญแจ (การกำหนดนี้มีเพียงคนวงในบางคนเท่านั้นที่ทราบ) กุญแจดังกล่าวจะถูกสืบทอดผ่านในตระกูลจากรุ่นสู่รุ่น กุญแจที่ว่านี้จะสามารถใช้เปิดกล่องได้ เจ้าของกุญแจทั้งนี่กล่องคือ โวลแตร์, เวลเลอร์, บีเลอเฟลท์ และ วินคอท ตามลำดับการที่จะปลดปล่อยสสารแห่งความพินาศออกมาได้นั้นจำต้องเปิดผนึกกล่องจุดจบแห่งสายลมเสียก่อน กล่องอื่นๆ จึงจะสามารถปลดผนึกได้สสารแห่งความพินาศ(創主) เป็นสสารที่ไม่สามารถระบุได้ชัดว่าคืออะไร มีอยู่ด้วยกันหลายตัว ในอดีตพวกมันคอยทำลายโลกนั้นให้พินาศลงไป จนกระทั่งเมื่อราวๆ 4000 ปีก่อน พระปฐมกษัตริย์ทรงใช้เวทปีศาจและดาบมารปราบปรามและปิดผนึกพวกมันลงในกล่องตระกูลขุนนางทั้งสิบ (十貴族) ตระกูลขุนนางที่เป็นเจ้าครองที่ดินตามหลักระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (feudalism) แคว้นแต่ละแคว้นจะต้องส่งภาษีซึ่งหักส่วนของขุนนางแล้วกลับสู่กษัตริย์ นอกจากนี้ ตระกูลขุนนางยังมีมีบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศมาก ในระยะแรกนั้นพระราชายูริทรงไม่มีอำนาจใดๆ ในการปกครองโดยตรง เนื่องจากยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงจำเป็นต้องให้มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปก่อนซึ่งก็มาจากคณะขุนนางทั้งสิบ (พระราชายูริทรงใช้อำนาจปกครองราชธานีและดินแดนรอบๆ โดยตรง และแบ่งออกเป็นอีก 10 แคว้น ให้ขุนนางดูแลปกครอง)ขุนนางทุกคนจะมีนามสกุลว่า "ฟอน" ตามด้วยชื่อแคว้นที่ปกครอง เช่น ฟอน โวลแตร์, ฟอน กรานซ์ เป็นต้น (ฟอน หรือ von ในภาษาเยอรมัน หมายถึง of ในภาษาอังกฤษ หรือ de ในภาษาฝรั่งเศส)