พระประวัติ ของ พระเจ้าคาร์ลที่_14_โยฮัน_แห่งสวีเดน

ฌ็อง-บาติสต์ แบร์นาด็อต เกิดในครอบครัวสามัญชนที่เมืองโป (Pau) ทางภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส เป็นบุตรชายคนที่สองของนายฌ็อง อ็องรี แบร์นาด็อต (Jean Henri Bernadotte) อัยการเมือง กับนางแฌน เดอ แซ็ง-ฌ็อง (Jeanne de Saint-Jean) ในวัยเด็กเขาฝันจะเป็นอัยการตามรอยบิดา ขณะอายุ 14 เขาได้เป็นอัยการท้องถิ่นฝึกหัด แต่การเสียชีวิตของบิดาเมื่อเขาอายุ 17 ปีได้หยุดความฝันทั้งหมดลง[1]

ราชการทหารฝรั่งเศส

แบร์นาด็อตในเครื่องแบบจอมพลแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส

เขาเข้ารับราชการในกองทัพหลวงฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1780[2] ต่อมาเมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้น เขามีโอกาสแสดงฝีมีด้านการทหารที่ยอดเยี่ยม และได้เลื่อนยศอย่างรวดเร็วจนขึ้นเป็นพลจัตวาในปีค.ศ. 1794[1][1] เขาประจำการในอิตาลีและเยอรมนี และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการสงครามช่วงสั้นๆ เขาเป็นผู้มีความใกล้ชิดนโปเลียนอย่างมาก แม้เขาจะมีส่วนช่วยนโปเลียนในการทำรัฐประหาร 18 บรูว์แมร์ในปีค.ศ. 1799 แต่เขากลับปฏิเสธตำแหน่งในคณะกงสุล[3] โดยยังคงทำหน้าที่ฝ่ายทหารต่อไป จนกระทั่งเมื่อนโปเลียนปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศสในปีค.ศ. 1804 นโปเลียนได้ประกาศตั้งเขาเป็นจอมพลแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส จอมพลแบร์นาด็อตเป็นบุคคลสำคัญที่คว้าชัยชนะให้แก่ฝรั่งเศสในยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ และได้รับอวยยศเป็นเจ้าชายแห่งปงเตคอร์โวเป็นบำเหน็จความชอบ[4][3]

มกุฎราชกุมารและผู้สำเร็จราชการสวีเดน

ในปีค.ศ. 1810 จอมพลแบร์นาด็อตกำลังจะเดินทางไปรับตำแหน่งข้าหลวงประจำกรุงโรม แต่แล้วก็ได้รับเลือกอย่างไม่คาดคิดให้เป็นโอรสบุญธรรมของพระเจ้าคาร์ลที่ 13 แห่งสวีเดน ผู้ไร้พระบุตร เขาจึงสละสัญชาติฝรั่งเศสเพื่อขึ้นเป็นทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์สวีเดน การแต่งตั้งแบร์นาด็อตเป็นมกุฎราชกุมารนี้หมายความว่าสายเลือดของราชวงศ์ฮ็อลชไตน์-ก็อททรอพ (Holstein-Gottorp) แห่งสวีเดนจะสิ้นสุดลงที่พระเจ้าคาร์ลที่ 13 วัย 61 ปีซึ่งมีพระพลามัยย่ำแย่ ก่อนนี้เจ้าชายคาร์ลและพระชายาเคยให้กำเนิดพระโอรสสองพระองค์แต่ล้วนสิ้นพระชนม์ขณะเป็นทารก ด้วยไม่เห็นโอกาสให้กำเนิดพระบุตรอีก หลังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ทั้งคู่จึงรับเจ้าชายเดนมาร์กองค์หนึ่งไว้เป็นโอรสบุญธรรม แต่เจ้าชายก็สิ้นพระชนม์ไปอีกเพียงไม่กี่เดือนหลังเดินทางถึงสวีเดน[5]

ราชสำนักสวีเดนจึงทำจดหมายถามจักรพรรดินโปเลียนว่ามีผู้ใดเหมาะสมบ้าง ในตอนแรกนโปเลียนตั้งใจเสนอชื่อเออแฌน เดอ โบอาร์แน ลูกติดภรรยาคนแรก อย่างไรก็ตาม เออแฌนซึ่งมีตำแหน่งเป็นอุปราชแห่งอิตาลีไม่ต้องการหันมานับถือนิกายลูเทอแรน ญาติพี่น้องคนอื่นๆของนโปเลียนก็ไม่มีใครอยากไปสวีเดนเช่นกัน องคมนตรีคาร์ล อ็อทโท เมอร์เนอร์ (Karl Otto Mörner) บุตรชายของบารอนกุสตาฟ เมอร์เนอร์ (Gustav Mörner) แม่ทัพสวีเดนที่ถูกจอมพลแบร์นาด็อตกุมตัวที่นครลือเบ็ค ได้ยื่นข้อเสนอนี้ให้แก่จอมพลแบร์นาด็อต แบร์นาด็อตนำข้อเสนอนี้ไปถามนโปเลียน ในตอนแรกนโปเลียนคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่แล้วก็ตัดสินใจสนับสนุนแบร์นาด็อตให้เป็นรัชทายาทสวีเดน[6]

แบร์นาด็อตสละสัญชาติฝรั่งเศส และเลือกใช้พระนาม คาร์ล โยฮัน[4] และเปลี่ยนจากนับถือนิกายโรมันคาทอลิกมาเป็นลูเทอแรน กฎหมายสวีเดนบัญญัติว่าสถาบันกษัตริย์จะต้องนับถือลูเทอแรนเท่านั้น[7] พระองค์กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสวีเดน มกุฎราชกุมารองค์ใหม่เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ราษฎรและเป็นบุคคลทรงอำนาจที่สุดในประเทศอย่างรวดเร็ว พระองค์สร้างความประทับใจแก่พระราชบิดาบุญธรรมเป็นอย่างมาก อาการประชวรของกษัตริย์และความไม่ลงรอยกันในคณะองคมนตรีทำให้อำนาจแทบทั้งหมดในรัฐบาลตกอยู่ในมือพระองค์ ประชาชนสวีเดนส่วนใหญ่ต้องการให้องค์มกุฎราชกุมารยึดฟินแลนด์คืนมาจากรัสเซีย แต่ทรงมองว่าชาวฟินแลนด์ไม่อยากกลับคืนสู่สวีเดน ต่อให้สวีเดนได้ฟินแลนด์คืนมาก็จะสร้างวัฎจักรความขัดแย้งใหม่กับมหาอำนาจเพื่อนบ้านและการต้านทานรัสเซียก็เป็นเรื่องลำบาก[8] พระองค์จึงหมายตาคาบสมุทรสแกนดิเนเวียแทนซึ่งสามารถป้องกันได้ง่ายกว่า โดยหวังจะยึดนอร์เวย์มาจากประเทศเดนมาร์กและผนวกรวมเข้ากับประเทศสวีเดน

สงครามนโปเลียน

ในปีค.ศ. 1810 นั้นเอง จักรพรรดินโปเลียนกดดันพระองค์ให้เข้าร่วมกับฝรั่งเศสและประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่ หาไม่แล้ว สวีเดนจะต้องรับมือกับพันธมิตรฝรั่งเศส-เดนมาร์ก-รัสเซีย พระองค์จำใจต้องทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยทรงประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้เป็นสร้างความเสียหายคิดเป็นตัวเงินต่อระบบเศรษฐกิจของบริเตนใหญ่และสวีเดนอย่างมหาศาล มูลค่านำเข้าสินค้าจากบริเตนลดลงเกือบร้อยละเก้าสิบในเวลาเพียงหนึ่งปี[9][10] อย่างไรก็ตาม แม้สวีเดนจะเข้าร่วมกับฝรั่งเศสแล้วแต่นโปเลียนกลับไม่ไว้ใจสวีเดนภายใต้อดีตลูกน้องเก่า ต้นปีค.ศ. 1812 ก่อนที่นโปเลียนจะยกทัพไปกรุงมอสโก นโปเลียนสั่งการให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ายึดดินแดนพอเมอเรเนียและเกาะรือเกินของสวีเดน[11] และส่งสารว่า "เป็นของขวัญวันประสูติองค์มกุฎราชกุมารแห่งสวีเดน"[12]

มกุฎราชกุมารคาร์ล โยฮัน ในยุทธการที่ไลพ์ซิช ค.ศ. 1813

การกระทำครั้งนี้ของนโปเลียนเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นเหตุแห่งสงครามอย่างชัดแจ้ง มันได้ทำลายมิตรภาพเก่าแก่ระหว่างทั้งคู่ลงอย่างไม่มีชิ้นดี ชาวสวีเดนต่างพากันโกรธแค้นฝรั่งเศส แม้กระทั่งกลุ่มนิยมฝรั่งเศสในราชสำนักสวีเดนก็ต่างหันมาต้านฝรั่งเศส[13] ด้วยเหตุฉะนี้ มกุฎราชกุมารคาร์ลโยฮันจึงประกาศสถานะเป็นกลางและเปิดเจรจากับบริเตนใหญ่และรัสเซีย[14] ต่อมาในปี.ศ. 1813 สวีเดนก็ประกาศเป็นพันธมิตรกับบริเตนใหญ่-รัสเซีย-ปรัสเซียในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หก พระองค์เป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือและสามารถป้องกันกรุงเบอร์ลินและได้รับชัยชนะเหนือกองพลของจอมพลอูดีโนในเดือนสิงหาคม และได้ชัยชนะเหนือกองพลของจอมพลแนในเดือนกันยายน จนสามารถโค่นล้มนโปเลียนได้สำเร็จ กองทัพของพระองค์ข้ามแม่น้ำเอ็ลเบอในวันที่ 19 ตุลาคม และเข้าสมทบกับพันธมิตรอื่นในยุทธการที่ไลพ์ซิช และสามารถมีชัยเหนือกองทัพผสมฝรั่งเศส-โปแลนด์-อิตาลี และโค่นล้มนโปเลียนได้สำเร็จ

การผนวกนอร์เวย์

ไม่ถึงสองเดือนหลังโค่นนโปเลียนลงได้ พระองค์นำทัพเข้าต่อสู้กับกองทหารเดนมาร์กเกิดเป็นยุทธการที่บอร์นเฮอเวิดและได้รับชัยชนะ ผลลัพธ์เกิดเป็นสนธิสัญญาคีลซึ่งเดนมาร์กตกลงมอบอำนาจเหนือนอร์เวย์แก่สวีเดน อย่างไรก็ตาม ชาวพื้นเมืองนอร์เวย์กลับไม่ยอมรับการปกครองของประเทศสวีเดน พวกเขาประกาศเอกราชพร้อมประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับเสรี และประกาศเลือกมกุฎราชกุมารคริสเตียนแห่งเดนมาร์กเป็นกษัตริย์นอร์เวย์ และเกิดเป็นสงครามชิงราชบัลลังก์นอร์เวย์ในกลางปีค.ศ. 1814 พระอัจฉริยภาพด้านการทหารของมกุฎราชกุมารคาร์ลโยฮันทำให้ประเทศสวีเดนได้รับชัยชนะ ซึ่งสงครามครั้งนี้เป็นสงครามสุดท้ายของประเทศสวีเดนจวบจนถึงปัจจุบัน[15] แม้ชัยชนะจะทำให้พระองค์สามารถทำการบังคับใดๆต่อนอร์เวย์ได้ แต่พระองค์กลับยอมรับรัฐธรรมนูญใหม่และอำนาจปกครองตนเองของนอร์เวย์ ซึ่งทำให้นอร์เวย์ตัดสินใจเข้าเป็นสหภาพกับสวีเดนในปลายปีนั้น[4]

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ