เบื้องต้น ของ พระเจ้าชาร์ลที่_7_แห่งฝรั่งเศส

พระเจ้าชาร์ลที่ 7 เสด็จพระราชสมภพในกรุงปารีส เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 5 ในพระเจ้าชาร์ลที่ 6 แห่งฝรั่งเศสและอิสซาเบลลาแห่งบาวาเรีย พระเชษฐาทั้งสี่พระองค์ของพระองค์ ชาร์ล (ค.ศ. 1386), ชาร์ล (ค.ศ. 1392-ค.ศ. 1401), หลุยส์ (ค.ศ. 1397-ค.ศ. 1415) และ จอห์น (ค.ศ. 1398-ค.ศ. 1417) ต่างก็ทรงถือตำแหน่งโดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส (Dauphin of France) ซึ่งเป็นตำแหน่งรัชทายาท แต่แต่ละพระองค์ก็มาสิ้นพระชนม์โดยไม่มีพระราชโอรสธิดาซึ่งทิ้งชาร์ลให้ได้รับบรรดาศักดิ์ต่างๆ หลายตำแหน่ง[2]

อิสซาเบลลาแห่งบาวาเรียและนางสนองพระโอษฐ์

ทันทีที่ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นโดแฟ็งชาร์ลก็ทรงเผชิญกับการคัดค้านในสิทธิของพระองค์จนต้องเสด็จหนีออกจากปารีสในปี ค.ศ. 1418 หลังจากกองทหารของจอห์นเดอะเฟียร์เลสส์ ดยุกแห่งเบอร์กันดีพยายามยึดปารีส ในปีต่อมาชาร์ลก็ทรงพยายามคืนดีกับจอห์นเดอะเฟียร์เลสส์โดยทรงพบปะกับจอห์นและสาบานสันติภาพกับบนสะพานพุยลี (Pouilly) ไม่ไกลจากเมเลิง (Melun) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1419 แต่การสาบานก็ยังไม่เพียงพอ ชาร์ลจึงพบกับจอห์นอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1419 บนสะพานที่มงเตอโร (Montereau) จอห์นผู้มีความไว้วางใจในชาร์ลผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันคาดว่าการพบปะกันเป็นเพียงการพบปะทางการทูตอย่างปกติ จึงนำข้าราชสำนักติดตามมาด้วยเพียงไม่กี่คน เมื่อมาถึงคนของชาร์ลก็เข้ารุมสังหารจอห์นบนสะพาน ชาร์ลจะทราบถึงแผนการนี้เท่าใดก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่บัดนั้น แม้ว่าจะทรงอ้างไม่ทรงมีส่วนรู้เห็นในแผนการที่ว่า แต่ก็ยากที่จะเชื่อได้โดยผู้ที่ทราบถึงการลอบสังหาร[3] และเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพระราชวงศ์ทางฝ่ายพระเจ้าชาร์ลที่ 6 และดยุกแห่งเบอร์กันดี ตัวชาร์ลเองต่อมาก็ต้องมาลงพระนามในสนธิสัญญากับฟิลลิปเดอะกูดลูกชายของจอห์นเดอะเฟียร์เลสส์ในการจ่ายฆ่าเสียหายในการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น แต่ก็มิได้ทรงจ่ายตามสัญญา

ขณะที่อยู่ในวัยหนุ่มพระองค์ทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกล้าหาญและมีลักษณะเป็นผู้นำ ระหว่างที่ทรงเป็นโดแฟ็งชาร์ลก็นำกองทัพเข้าต่อต้านฝ่ายอังกฤษ ทรงฉลองพระองค์สีแดง ขาว และ น้ำเงิน ที่เป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศส แต่เหตุการณ์สองเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1421 ทำให้ทรงขาดความมั่นพระทัยลงไปบ้างเมื่อทรงถูกบังคับให้ถอยทัพจากสมรภูมิในการต่อสู้กับสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ และเมื่อพระราชบิดามารดาของพระองค์ค้านสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ของพระองค์โดยกล่าวหาว่าเป็นพระโอรสนอกสมรสของพระราชมารดากับชู้ เหตุการณ์ทั้งสองนี้ทำให้ทรงได้รับความอับอายเป็นอันมากและทรงกลัวถึงอันตรายที่จะมีต่อชีวิตของพระองค์ ชาร์ลจึงทรงตัดสินพระทัยหนีไปพึ่งโยลันเดอแห่งอารากอน (Yolande of Aragon) ผู้ได้รับการขนานนามว่า "ราชินีสี่อาณาจักร" ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส และไปสมรสกับลูกสาวของโยลันเดอมารี

เมื่อพระเจ้าชาร์ลที่ 6 พระราชบิดาเสด็จสวรรคต การสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศสก็กลายเป็นปัญหา ถ้าโดแฟ็งชาร์ลเป็นพระราชโอรสที่ถูกต้องพระองค์ก็ทรงมีสิทธิในการขึ้นครองราชบัลลังก์ได้โดยชอบธรรม แต่ถ้าเป็นพระราชโอรสนอกสมรส ทายาทก็จะเป็นดยุกแห่งออร์เลอองส์ นอกจากนั้นแล้วสนธิสัญญาตรัวส์ที่ลงนามโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 6 ในปี ค.ศ. 1420 ก็ยังระบุว่าหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ราชบัลลังก์ฝรั่งเศสก็จะตกไปเป็นของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ พระราชโอรสในพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ผู้ที่เพิ่งเสด็จสวรรคต กับ แคทเธอรินแห่งวาลัวพระราชธิดาของพระเจ้าชาร์ลที่ 6 เอง แต่ผู้มีสิทธิทั้งสามต่างก็ไม่มีสิทธิอย่างเต็มตัว ฝ่ายอังกฤษผู้ที่ครองดินแดนทางตอนเหนือของฝรั่งเศสที่รวมทั้งปารีสอยู่ในขณะนั้นสามารถอ้างสิทธิในการครองฝรั่งเศสในส่วนที่มีอำนาจปกครองอยู่ ฉะนั้นทางตอนเหนือของฝรั่งเศสจึงถูกปกครองโดยผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่ปกครองแทนสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษโดยมีราชสำนักอยู่ในนอร์ม็องดี

ชาร์ลทรงอ้างสิทธิในราชบัลลังก์แห่งฝรั่งเศสสำหรับพระองค์เองแต่เป็นไปอย่างลักๆ ลั่นๆ และไม่ทรงสามารถที่จะกำจัดอังกฤษออกจากฝรั่งเศสได้ พระองค์จึงทรงตั้งตัวอยู่ในบริเวณทางตอนใต้ในบริเวณลุ่มแม่น้ำลัวร์ ที่ยังคงทรงมีอำนาจอยู่บ้าง บางครั้งก็ทรงตั้งราชสำนักอยู่ที่ปราสาทที่ชินงที่ยังคงเรียกกันว่า "โดแฟ็ง" อยู่จนทุกวันนี้ หรือบางครั้งก็ได้รับการขนานพระนามอย่างเสียดสีว่าทรงเป็น "กษัตริย์แห่งบูร์ก" บางครั้งพระองค์ก็คิดจะหนีไปยังคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้อังกฤษขยายตัวลึกลงมาทางใต้ได้อีก

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ