พระราชกรณียกิจ ของ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่_3_แห่งอังกฤษ

ด้านกฎหมาย

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้ทรงก่อตั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์

ในกลางรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเป็นช่วงระยะเวลาสำคัญในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีคือพระราชบัญญัติแรงงาน ค.ศ. 1351 ที่แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่เป็นผลมาจากการระบาดของกาฬโรค พระราชบัญญัติกำหนดค่าแรงงานตามระดับมาตรการที่วางไว้ และกำหนดให้ขุนนางผู้เป็นเจ้าของแรงงานมีสิทธิในตัวกรรมกรก่อนที่กรรมกรจะโยกย้ายไปไหนได้ แม้ว่าทางรัฐบาลจะบังคับใช้กฎหมายแต่ก็ล้มเหลวเพราะการแก่งแย่งแรงงานระหว่างเจ้าของที่ดิน[22] พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้รับการบรรยายว่าเป็นพระราชบัญญัติที่พยายามใช้กฎหมายที่ค้านกับกฎ “อุปสงค์และอุปทาน” ซึ่งเป็นผลทำให้พระราชบัญญัติล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง[23] แต่กระนั้นการขาดแคลนแรงงานก็เป็นการทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มผู้เป็นเจ้าของที่ดินเป็นสองกลุ่ม ผู้เป็นเจ้าของที่ดินรายย่อยของสภาสามัญและเจ้าของที่ดินรายใหญ่ของสภาขุนนาง ความพยายามที่จะจำกัดสิทธิของชนชั้นแรงงานทำให้เป็นที่โกรธเคืองของฝ่ายชาวนาที่ในที่สุดก็นำไปสู่การปฏิวัติชาวนา (English peasants' revolt 1381) ของปี ค.ศ. 1381[24]

รัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดตรงกับสมัยที่ราชสำนักพระสันตะปาปาไปตั้งอยู่ที่อาวินยอง ระหว่างสงครามกับฝรั่งเศสทางอังกฤษก็เริ่มเกิดการก่อตัวในความเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองโดยพระสันตะปาปาที่ควบคุมโดยฝรั่งเศสที่เห็นกันว่าเป็นการปกครองที่ไม่เป็นธรรม และเป็นที่สงสัยกันว่าการเก็บภาษีอย่างหนักจากวัดต่างๆ ในอังกฤษนั้นก็เป็นการนำเงินไปใช้ในการบำรุงประเทศที่เป็นศัตรู นอกจากนั้นการใช้อำนาจของพระสันตะปาปาในการ “ประทานที่ดินชั่วชีวิต” (Benefice) โดยการทรงมอบที่ดินให้นักบวชผู้ที่มักจะเป็นชาวต่างประเทศที่มิได้มีถิ่นฐานในอังกฤษก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกความเกลียดชังชาวต่างประเทศ (Xenophobia) ยิ่งรุนแรงมากขึ้นในหมู่ชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1350 และปี ค.ศ. 1353 ก็ได้มีการออกพระราชบัญญัติสองฉบับที่พยายามยุติสิทธิของพระสันตะปาปาใน “การประทานที่ดินชั่วชีวิต” และจำกัดอำนาจของพระสันตะปาปาในศาลที่มีต่อประชาชนอังกฤษ[25] แต่พระราชบัญญัติมิได้ยุติความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์อังกฤษกับพระสันตะปาปาผู้ซึ่งต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน และมิได้แยกตัวจนกระทั่งเหตุการณ์ “ความแตกแยกของอาณาจักรสันตะปาปา” (Western Schism) ในปี ค.ศ. 1378 เท่านั้นที่ราชบัลลังก์อังกฤษแยกตัวเด็ดขาดจากอิทธิพลของอาวินยอง

กฎหมายสำคัญฉบับอื่นก็ได้แก่พระราชบัญญัติกบฏต่อแผ่นดิน ค.ศ. 1351 (Treason Act 1351) ซึ่งสำเร็จได้เพราะบ้านเมืองอยู่ในสภาวะที่สงบสุขพอที่ฝ่ายต่างๆ จะปรองดองกันได้ถึงความหมายของอาชญากรรมอันเป็นที่ขัดแย้งกันในช่วงที่บ้านเมืองระส่ำระสาย[26] แต่การปฏิรูปกฎหมายที่สำคัญที่สุดก็คือระบบยุติธรรม (Justice of the Peace) สถาบันนี้มีมาตั้งแต่ก่อนรัชสมัยของพระองค์ แต่ในปี ค.ศ. 1350 ระบบยุติธรรมได้รับการมอบอำนาจให้ไม่แต่เพียงในการสืบสวนคดีและการจับกุมแต่ยังมีอำนาจในการพิจารณาคดีรวมทั้งคดีอาญา ซึ่งเท่ากับเป็นการวางรากฐานระบบยุติธรรมของอังกฤษ[27]

ด้านรัฐสภาและภาษี

รัฐสภาแห่งอังกฤษได้รับการก่อตั้งเป็นสถาบันที่มั่นคงมาแล้วในรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแต่ก็ยังมีการวิวัฒนาการในรัชสมัยของพระองค์ ในช่วงนี้สมาชิกของบารอนอังกฤษที่ไม่มีรูปแบบเท่าใดนักก่อนหน้านั้นก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นโดยที่สมาชิกเป็นขุนนางสืบตระกูลผู้ได้รับเรียกเข้ามาประชุมในรัฐสภา[28] ที่ในที่สุดก็วิวัฒนาการมาเป็นระบบสองสภา (Bicameralism) แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดมิได้เกิดขึ้นในสภาขุนนางแต่ในสภาสามัญชน ความแตกแยกยิ่งกว้างยิ่งขึ้นในวิกฤติกาลของรัฐสภาดีเมื่อสภาสามัญชนเริ่มมีบทบาททางการเมืองที่เห็นได้ชัดที่นำไปสู่วิกฤติกาลทางการเมือง ระหว่างนั้นก็ได้มีการก่อตั้งระบบการฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง (Impeachment) และสำนักงานประธานสภาสามัญชน (Speaker of the House of Commons) ขึ้น แม้ว่าความคืบหน้าจะเป็นเพียงการชั่วคราวแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษ

อิทธิพลทางการเมืองของสภาสามัญชนเดิมอยู่ที่การอนุมัติการเก็บภาษี สงครามร้อยปีเป็นสงครามที่ต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งทางพระมหากษัตริย์และองคมนตรีก็พยายามหาวิธีต่างๆ ในการหารายได้เพื่อมาใช้ในการสนับสนุนการสงคราม ตามปกติแล้วพระมหากษัตริย์ทรงมีรายได้ประจำจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (Crown Estate) และทรงมีอำนาจในการยืมเงินจากอิตาลีและนายทุนในประเทศ แต่ความจำเป็นที่จะต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมหาศาลในการทำสงครามทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงต้องเลี่ยงไปใช้การเก็บภาษีจากราษฎร การเก็บภาษีมีสองอย่าง: ภาษี และภาษีศุลกากร ภาษีเป็นเงินที่เรียกเก็บสำหรับสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ซึ่งเป็นจำนวนประมาณหนึ่งในสิบของทรัพย์สินของเมือง และหนึ่งในห้าของทรัพย์สินของฟาร์มซึ่งก็ทำรายได้ให้จำนวนมาก แต่การเก็บภาษีแต่ละครั้ง พระองค์ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา และทรงต้องให้เหตุผลถึงความจำเป็นในการเก็บภาษี[29] ภาษีศุลกากรเมื่อเทียบกับภาษีรายได้ จึงเป็นระบบที่แน่นอนกว่า และเป็นภาษีสมทบที่ทำรายได้ประจำที่สม่ำเสมอ การเก็บภาษีศุลกากรของขนแกะที่ส่งออกเรียกเก็บกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1275 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ทรงพยายามเพิ่มภาษีขนแกะแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1336 เป็นต้นมาก็ได้มีการหาวิธีต่างๆ ที่จะเพิ่มรายได้จากการส่งขนแกะออกนอก หลังจากปัญหาต่างที่เกิดขึ้นในระยะแรกแล้วในที่สุดก็ตกลงกันได้ในพระราชบัญญัติภาษีศุลกากรสำหรับด่านสินค้าขาออก (Statute of the Staple) ในปี ค.ศ. 1353 ว่าภาษีศุลกากรควรได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาแต่ความจริงแล้วพระราชบัญญัติเป็นพระราชบัญญัติที่บังคับใช้โดยถาวร[30]

ภาษีที่สม่ำเสมอที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงได้รับเกิดจากการที่รัฐสภาโดยเฉพาะสภาสามัญชนที่เริ่มมีอิทธิพลทางการเมืองมากขึ้น แต่เป็นการเห็นพ้องกันว่าในการที่จะให้การเก็บภาษีเป็นไปอย่างยุติธรรมพระมหากษัตริย์ต้องทรงพิสูจน์ว่าเป็นการเก็บภาษีที่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องเก็บ; เป็นภาษีที่เห็นควรโดยชุมชนในราชอาณาจักร และเป็นภาษีที่เก็บแล้วมีประโยชน์ต่อชุมชน นอกจากนั้นในโอกาสที่ทรงแถลงความจำเป็นในการเก็บภาษี ก็ยังเป็นโอกาสที่รัฐสภาใช้ในการยื่นคำร้องทุกข์ (petition) ต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางที่ผิดของข้าราชการ ซึ่งทำให้ทั้งพระมหากษัตริย์และรัฐสภาต่างก็ได้ประโยชน์จากระบบนี้ กระบวนการวิวัฒนาการนี้ทำให้สภาสามัญชนและชุมชนที่สภาเป็นตัวแทนมีความรู้ความเข้าใจในสถานะการณ์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นและเป็นการวางรากฐานของราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญต่อมา[31]

เกียรติศักดิ์และความเป็นชาตินิยม

ตราราชการประจำพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3

หัวใจในนโยบายการปกครองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดอยู่ที่การเข้าร่วมในสงครามของขุนนางชั้นสูงและการบริหาร ขณะที่พระราชบิดาทรงมีปัญหาขัดแย้งกับขุนนางเป็นส่วนใหญ่ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงสามารถสร้างบรรยากาศของความร่วมมือกันระหว่างพระองค์เองและขุนนางทั้งหลาย

ทั้งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 และ ที่ 2 ทรงใช้นโยบายการจำกัดจำนวนขุนนาง โดยการแต่งตั้งขุนนางสืบตระกูลเพียงไม่กี่ตำแหน่งในระยะเวลาหกสิบปีก่อนหน้าที่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 จะทรงขึ้นครองราชย์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ ในปี ค.ศ. 1337 เมื่อทรงเตรียมเข้าสงครามที่จะมาถึงโดยการก่อตั้งตำแหน่งเอิร์ลใหม่อีกหกตำแหน่งในวันเดียว[32] ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเพิ่มตำแหน่งใหม่ที่สูงกว่าตำแหน่งเอิร์ลเป็นตำแหน่ง “ดยุก” สำหรับพระญาติพระวงศ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์

นอกจากนั้นแล้วพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ยังทรงสร้างความเป็นชุมชนในหมู่ขุนนางโดยการก่อตั้งเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ (Order of the Garter) ราวปี ค.ศ. 1348 และในปี ค.ศ. 1344 ก็ทรงมีแผนที่จะรื้อฟื้น “ระบบขุนนางโต๊ะกลม” ของพระเจ้าอาร์เธอร์แต่ก็มิได้เกิดขึ้น แต่เครื่องราชอิสริยาภรณ์มีพื้นฐานมาจากตำนานโดยการใช้สัญลักษณ์วงกลมของการ์เตอร์ นักประวัติศาสตร์อังกฤษโพลิดอร์ เวอร์จิล (Polydore Vergil) กล่าวถึงที่มาว่าโจนแห่งเค้นท์ (Joan of Kent) เคานเทสแห่งซอลสบรี—พระสนมคนโปรดขณะนั้น—ทำสายรัดถุงเท้า (Garter) หลุดลงมาโดยอุบัติเหตุที่งานเลี้ยงที่คาเลส์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงทรงช่วยแก้หน้าจากฝูงชนที่เยาะหยันโดยทรงผูกสายรัดรอบพระเพลาของพระองค์เอง เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์จึงมีรูปสายรัดถุงเท้าที่มีคำจารึกว่า “honi soit qui mal y pense”—ความละอายใจจงเป็นของผู้คิดมิดี[33]

การเน้นความเป็นผู้ดีมีศักดิ์ศรีเป็นปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับการสงครามกับฝรั่งเศสเพราะเป็นการเริ่มความคิดของ “ความเป็นชาติ” เช่นเดียวกับเมื่อมีสงครามกับสกอตแลนด์ ความกลัวการรุกรานของฝรั่งเศสยิ่งทำให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรุนแรงยิ่งขึ้น และทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอังกฤษขึ้นในบรรดาขุนนางที่เคยเป็นชาวอังกฤษ-ฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยที่ชาวนอร์มันได้รับชัยชนะต่ออังกฤษ ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ก็มีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าฝรั่งเศสวางแผนที่จะกำจัดภาษาอังกฤษ และเช่นเดียวกับพระอัยกาสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ทรงใช้ความหวาดกลัวอันนี้ในการสนับสนุนนโยบายของพระองค์[34] ซึ่งก็ทำให้เกิดการฟื้นฟูภาษาอังกฤษกันอย่างจริงจัง ในปี ค.ศ. 1362 ก็ได้มีการออกพระราชบัญญัติการใช้ภาษาอังกฤษในศาล (Statute of Pleading) ระบุการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการในระบบการศาล และในปีต่อมาก็เป็นปีแรกที่การเปิดประชุมรัฐสภาที่ทำเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก[35] ในขณะเดียวกันงานเขียนวรรณกรรมก็เพิ่มมากขึ้นเช่นในงานเขียนของวิลเลียม แลงแลนด์ (William Langland), จอห์น เกาเวอร์ (John Gower) และโดยเฉพาะในวรรณกรรมสำคัญ “ตำนานการเดินทางไปแสวงบุญที่แคนเตอร์บรี” (The Canterbury Tales) โดยเจฟฟรีย์ ชอเซอร์

แต่การทำให้เป็นอังกฤษ (Anglicisation) ก็ไม่ควรจะขยายความกันจนเกินเลย เพราะพระราชบัญญัติที่ออกในปี ค.ศ. 1362 ก็ยังเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งก็ไม่มีผลในทันทีทันใด รัฐสภาเองก็ยังเปิดประชุมกันเป็นภาษาฝรั่งเศสมาจนถึง ปี ค.ศ. 1377[36] เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์แม้ว่าจะเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อังกฤษแต่ยังมอบให้แก่ชาวต่างประเทศเช่นจอห์นที่ 5 ดยุกแห่งบริตานี และเซอร์โรแบร์ตแห่งนาเมอร์[37] พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเองก็ยังเป็นผู้พูดสองภาษาและยังทรงถือพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ที่ถูกต้องของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส พระองค์จึงไม่ทรงสามารถแสดงความลำเอียงไปทางใดทางหนึ่งได้ตราบใดที่ทรงยังอ้างสิทธิในสองราชบัลลังก์

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ