ความหลากหลายของพังก์ ของ พังก์ร็อก

ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 70 ดนตรีพังคได้แตกแยกแขนง ไปหลากหลายทิศทาง โดยได้ผสมผสานความเป็นศิลปะ ของกลุ่มคนชั้นกลางผู้ต้องการความแตกต่าง และกลุ่มคนชั้นแรงงาน[60] นี่เป็นที่มาของเพลงแนว นิวเวฟ และ โพสต์พังก์ โดยหลายวงได้ทำการทดลองแนวดนตรีไปในทิศทางอื่น เช่นแนว ฮาร์ดคอร์พังก์ และ ออย! และ อะนาร์โค-พังก์ ในบขณะที่ ป็อปพังก์มีคนเคยกล่าวว่า เป็นการรวมระหว่างแอ็บบ้า กับ เซ็กซ์พิสทอลส์[61]

ความหลายหลายได้เกิดขึ้น หลายๆแนวเริ่มรวมกันกับแนวอื่น อย่างเช่นวงเดอะ แคลชในอัลบั้ม London Calling ได้รวมเร้กเก้ สกา อาร์แอนด์บี ร็อกอะบิลลี กับพังก์ ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดอัลบั้มหนึ่งก็ว่าได้[62]

นิวเวฟ

ตัวอย่างเสียงของ บลอนดี

นิวเวฟเป็นแนวเพลงย่อยของพังก์แรกๆ ในช่วงนั้นวงอย่าง ทอล์กกิงเฮดส์ (Talking Heads), บลอนดี (Blondie), ดีโว (Devo) และ เดอะโพลิซ (The Police) ได้ทำให้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเพลงมีจังหวะที่สามารถเต้นรำได้ ทางภาคโปรดักชันที่ดูสละสลวยขึ้นกว่าพังก์ ทำให้เรียกว่า นิวเวฟ โดยมีองค์ประกอบของพังก์ยุคเริ่มแรกอยู่และแฟชั่น บวกความเป็นป็อปเข้าไปและดูอันตรายน้อยลง ตัวอย่างวงนิวเวฟเช่น เดอะคาส์ (The Cars) และ เอลวิส คอสเตลโล (Elvis Costello) ที่ได้รับความนิยมทั้งอังกฤษและอเมริกา

ดนตรีนิวเวฟได้เข้าสู่แนวดนตรีกระแสหลัก มีพังก์เป็นต้นแบบ มีการรวมแนวเพลงอย่าง ทูโทนสกา เป็นต้น ต่อมากระแสเพลงแนวนิวโรแมนติกได้รับความนิยม เช่นวง ดูแรนดูแรน (Duran Duran) และวงซินธ์ป็อปอย่าง ดีเพเช โมด ดนตรีนิวเวฟกลายเป็นวัฒนธรรมป็อปและการเกิดของสถานีโทรทัศน์ทางดนตรีช่อง เอ็มทีวี ในปี 1981 ที่ได้เล่นเพลงประเภทนิวเวฟอยู่[63]

โพสต์พังก์

จอย ดิวิชัน วงแนวโพสต์-พังก์

ในสหราชอาณาจักรแนวโพสต์-พังก์ ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มีวงอย่าง เดอะฟอลล์ (The Fall), จอยดิวิชัน (Joy Division), แกงออฟโฟร์ (Gang of Four) เป็นต้น มีบางวงอย่าง ซูซีแอนด์เดอะแบนชีส์และเดอะ สลิทตส์ได้แปลจากวงพังก์เป็นวงโพสต์-พังก์ ทางด้านดนตรีมักจะเป็นดนตรีทดลอง เหมือนวงแนวนิวเวฟ ลักษณะแนวเพลงนิวเวฟจะมีลักษณะไม่ค่อยจะเป็นเพลงป็อป ดูหม่น ๆ ดูกัดกร่อน ในบางครั้งจะไม่มีท่วงทำนอง และได้รับอิทธิพลจากดนตรีอาร์ตร็อกอย่าง แคปเทน บีฟฮาร์ต และ เดวิด โบอี เป็นต้น ในทางเนื้อเพลงจะเป็นการเขียนเนื้อเพลงแบบใหม่[64]

วงอย่าง นิวออร์เดอร์ (New Order) และ ยูทู (U2) ที่ดังข้ามไปฝั่งอเมริกาสู่กระแสหลัก แต่บางวงก็ดังในกลุ่มเล็กอย่าง แกงออฟโฟร์ (Gang of Four) และ เดอะเรนโคทส์ (The Raincoats) เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดีแนวเพลงได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในวัฒนธรรมเพลงป็อปด้วย[65]

ฮาร์ดคอร์พังก์

ฮาร์ดคอร์พังก์มีลักษณะถึงความเร็ว จังหวะที่ก้าวร้าว และมักพูดถึงเรื่องการเมือง ถูกพัฒนาช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ในสหรัฐอเมริกา นักเขียนชื่อ สตีเวน บลุช กล่าวว่า "ฮาร์ดคอร์พังก์เริ่มมาจากแถบชานเมืองอันเงียบเหงาในอเมริกา ผู้ปกครองที่ได้ย้ายเด็กออกจากเมืองใหญ่สู่ชานเมืองนี้ ได้ทำให้เห็นถึงความเป็นจริงของเมืองและก็สุดท้ายก็จบลงด้วยปีศาจพันธุ์ใหม่นี้"[66]

ฮาร์ดคอร์พังก์เกิดขึ้นแถบทางใต้ของแคลิฟอรืเนียในช่วงปี ค.ศ. 1978–79 ตามมาด้วยวอชิงตัน ดีซี และแพร่ขยายไปทั่วอเมริกาเหนือและทั่วโลก[67]

ในช่วงแรกวงแรกๆมี แบล็กแฟลก (Black Flag) และ มิดเดิลคลาส (Middle Class), แบดเบรนส์ (Bad Brains) และ ทีนไอเดิลส์ (Teen Idles) ก็ได้เกิดขึ้นแทบ วอชิงตัน ดีซี[68] วงบางวงอย่าง เดด เคนเนดีส์ได้เปลี่ยนมาเป็นฮาร์ดคอร์พังก์ ส่วนในนิวยอร์กแนวนี้เริ่มเกิดขึ้นในปี 1981 โดยการนำอย่างวง แอกนอสติกฟรอนต์ (Agnostic Front), เดอะโคร-แม็กส์ (The Cro-Mags), เมอร์ฟีส์ลอว์ (Murphy's Law) และ ยูทออฟทูเดย์ (Youth of Today)[69]

เนื้อเพลงของวง เดด เคนเนดีส์ในเพลง Holiday in Cambodia แสดงให้เห็นการวิจารณ์สังคมการค้าและค่านิยมของชนชั้นกลาง[70]

ช่วงต้นยุค 1980 วงทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาและแคลิฟอร์เนียอย่างวง เจเอฟเอ (JFA), เอเจนต์ออเรนจ์ (Agent Orange) และ เดอะแฟกชัน (The Faction) ได้สร้างทิศทางดนตรีใหม่ให้กับฮาร์ดคอร์พังก์ในแนวใหม่ เรียกว่า สเกตพังก์

โอย! (Oi!)

ปกอัลบั้มวงเดอะ โฟร์-สกินส์ ชุด The Good, The Bad & The 4-Skins

ตามกระแสวงพังก์ยุคแรกในสหราชอาณาจักร อย่างวง ค็อคสปาร์เรอร์ (Cock Sparrer) และ แชม 69 (Sham 69) ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70[5] คลื่นลูกต่อมาอย่าง ค็อคนีย์รีเจกส์ (Cockney Rejects), แอนเจลิกอับสตาร์ตส์ (Angelic Upstarts), ดิเอกซ์พลอเตด (The Exploited) และ เดอะโฟร์สกินส์ (The 4-Skins) ได้หาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับชนชั้นกรรมาชีพ[71]

วงเหล่านี้มักเรียกว่า รีลพังก์ หรือ สตรีตพังก์ แกรี บัชเชล ได้อธิบายแนวเพลง Oi! ว่า "แนวนี้ได้มาจากวง เดอะ ค็อคนีย์รีเจกส์ ที่มักจะตะโกนว่า "Oi! Oi! Oi!" ก่อนที่จะเล่นเพลง แทนที่คำว่า "1, 2, 3, 4!"[72] ส่วนเนื้อเพลงจะสะท้อนให้เห็นความแข็งกร้าว หยาบคาย แสดงสภาพความเป็นจริงในยุคมาร์กาเรต แทตเชอร์ ในสหราชอาณาจักรช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ถึงต้นทศวรรษที่ 1980

กระแสของ Oi! ถูกกระตุ้นโดยกระแสพังก์ในช่วงนั้น สตีฟ เคนต์นักกีตาร์มืออาชีพกล่าวว่า "พวกเด็กมหาวิทยาลัยมักจะใช้คำยาว ๆ ในการแต่งเพลง และพยายามทำตัวเองให้เป็นศิลปิน"[73] ข้อบัญญัติอย่างนึงของ Oi!คือ ต้องไม่เสแสร้งและเข้าถึงได้ และ Oi! คือความเป็นจริงของพังก์ ที่ที่วงพวกนี้ได้เกิดขึ้น มันโหดร้ายและก้าวร้าวมาก[74]

วง Oi! ในช่วงแรกจะไม่สนใจเรื่องการเมือง อย่างไรก็ตาม วง Oi! หลายวงเริ่มที่จะสนใจสกินเฮดแบบนาซี ถึงแม้วงหลายวงจะไม่ได้สนับสนุนนาซีก็ตาม บางครั้งกลุ่มสกินเฮดที่เหยียดสีผิวจะเข้ามาขัดขวางการแสดงคอนเสิร์ตของพวก Oi! โดยจะตะโกนคำขวัญของลัทธิฟาสซิสท์ และพยายามก่อความวุ่นวาย วง Oi! หลายวงได้ต่อต้านกับแฟน ๆ การเข้าถึงของกลุ่มคนชั้นกลาง[75]

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1981 ในคอนเสิร์ตในเซาธ์ฮอล ที่มีวงอย่าง เดอะบิสเนส (The Business), เดอะโฟร์สกินส์ และ เดอะลาสต์รีสอร์ต (The Last Resort) ถูกลอบวางระเบิดโดยกลุ่มเด็กวัยรุ่นชาวเอเชีย เพราะความเข้าใจผิดว่าเป็นงานของนีโอนาซี[76] หลังจากนั้นสื่อมวลชนได้ลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้เกี่ยวกับความถูกต้อง และเพลงแนว Oi! ก็ได้ลดความนิยมไป[77]

อะนาร์โค-พังก์

อะนาร์โค-พังก์ (Anarcho-Punk) มาจากคำสองคำ คือ อนาธิปไตย (Anarchism) (อนาธิปไตยหมายถึงแนวคิดการเมืองแบบไร้ผู้นำ) และ พังก์ (Punk) เป็นแนวดนตรีที่สร้างงานดนตรีโดยเสนอเนื้อหาเชิง อนาธิปไตย ซึ่งจริง ๆ แนวพังก์ร็อกก็เป็นแนวที่ต่อต้านระบอบแบบแผน และต่อต้านสังคมอนุรักษนิยมอยู่แล้ว[78]

อะนาร์โค-พังก์ได้พัฒนาไปพร้อมกับ Oi! และกระแสอเมริกันฮาร์ดคอร์ ด้วยรูปแบบดนตรีพังก์ดั้งเดิม ตรงไปตรงมามาก (การใช้คอร์ดน้อย เมโลดี้เรียบ ๆ ในแบบพังก์) และการร้องแบบตะโกนโวยวาย เช่นวงอย่าง คราส (Crass), ซับฮิวเมนส์ (Subhumans), ฟลักซ์ออฟพิงก์อินเดียนส์ (Flux of Pink Indians), คอนฟลิกต์ (Conflict), พอยสันเกิร์ลส์ (Poison Girls) และ อะพอสเติลส์ (The Apostles) พยายามที่จะเปลี่ยนพังก์ร็อกที่ใส่แนวคิดทางด้านอนาธิปไตยเข้าไป[79]

อะนาร์โค-พังก์ในยุคเริ่มนั้นเป็นการแสดงตัวตนและได้แสดงศิลปะอย่างชัดเจนนอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนสโลแกน "DIY not EMI" (DIY = Do It Yourself) อันเป็นเหมือนการปฏิเสธค่ายใหญ่ และแสดงออกทางจุดยืนในการต่อต้านระบบทุนไปในตัว โดยอาศัยเครือข่ายและระบบความสัมพันธ์เป็นหลักในการเผยแพร่งาน อะนาร์โค-พังก์ได้แพร่ขยายไปยังแนวพังก์ย่อยแนวอื่น อย่าง พอยสัน เกิร์ลส,คอนฟลิกต์ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นแนวฮาร์ดคอร์พังก์[78]

ป็อปพังก์

ด้วยความรักในวงเดอะบีชบอยส์ และแนวบับเบิลกัมป็อปในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 วงเดอะ ราโมนส์ได้ปูทางไว้ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อของ ป็อปพังก์[80] ในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 วงจากสหราชอาณาจักรอย่าง บัซค็อกส์ และ ดิ อันเดอร์โทนส์ ได้รวมแนวเพลงป็อปเข้ากับเนื้อเพลงแบบพังก์ทีดูรวดเร็วและยุ่งเหยิง[81]

ช่วงต้นยุคทศวรรษที่ 1980 วงฮาร์ดคอร์ร็อกแนวหน้าแถบแคลิฟอร์เนียใต้ได้ย้ำโดยทำเมโลดี้ที่สละสลวยมากขึ้นกว่าทั่วไป เอพิแทฟเรเคิดส์ (Epitaph Records) ได้ค้นพบสมาชิกวงแบด รีลิเจียน ซึ่งต่อมาเป็นรากฐานให้กับวงป็อปพังก์หลาย ๆ วง รวมถึง โนเอฟเอกซ์ ที่ได้รับอิทธิพลจากสกา และจังหวะของสเก็ตพังก์ ส่วนวงที่เชื่อมพังก์ร็อกด้วยเมโลดี้แบบป็อป เช่นวงเดอะเควียร์ (The Queers) และ สครีชชิงวีเซล (Screeching Weasel) ได้กระจายทั่วประเทศ วงอย่างกรีนเดย์ (Green Day) ได้นำกระแสป็อปพังก์สู่กระแสหลัก และมีวงอย่างเดอะแวนดาลส์ (The Vandals) และ กัตเตอร์เมาธ์ (Guttermouth) ได้พัฒนาโดยรวมเมโลดี้แบบป็อปกับความตลกขบขันและก้าวร้าวด้วยกัน[82]

แหล่งที่มา

WikiPedia: พังก์ร็อก http://www.aijac.org.au/review/2000/258/sounds.htm... http://www.cbc.ca/arts/music/guitarsolos.html http://punkmusic.about.com/od/artistprofiles/p/buz... http://www.allmusic.com/explore/essay/ http://www.allmusic.com/explore/style/post-punk-d2... http://www.allmusic.com/explore/style/punk-d204 http://www.associatedcontent.com/article/11459/10_... http://www.distortedmagazine.com/ http://www.fastnbulbous.com/punk.htm http://flipsidefanzine.com/PortalHome.html