ภูมิหลัง ของ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป_2020_นัดชิงชนะเลิศ

ก่อนเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ อังกฤษและอิตาลีถูกมองว่าเป็นทีมเต็งที่จะชนะเลิศ[16] โดยมีอันดับโลกฟีฟ่าเป็นอันดับที่ 4 และ 7 ตามลำดับในช่วงก่อนเริ่มการแข่งขัน[17] ทั้งสองทีมเคยชนะเลิศฟุตบอลโลกมาแล้ว โดยอิตาลีชนะเลิศสี่สมัย ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2006 ส่วนอังกฤษชนะเลิศสมัยเดียวในปี 1966 ที่จัดขึ้นในประเทศตัวเอง อิตาชีชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในปี 1968 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่อังกฤษ เคยเข้ารอบรองชนะเลิศสองครั้ง แม้ว่านัดชิงชนะเลิศนี้จะจัดขึ้นที่ลอนดอน แต่อิตาลีจะถูกกำหนดให้เป็น "เจ้าบ้าน" ตามวัตถุประสงค์ในการจัดการ[18]

อิตาลีเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้มาแล้วสามครั้งในปี 1968 ที่พวกเขาเอาชนะยูโกสลาเวียในนัดรีเพลย์ในบ้านของตัวเอง, ปี 2000 ที่พวกเขาแพ้ฝรั่งเศสที่เนเธอร์แลนด์ด้วยกฎโกลเดนโกลในช่วงต่อเวลาพิเศษ และปี 2012 ที่พวกเขาแพ้สเปน ก่อนถึงนัดชิงชนะเลิศ อิตาลีไม่แพ้ใครมาแล้ว 33 นัดติดต่อกัน เป็นสถิติไร้พ่ายของทีมชาติที่ยาวนานเป็นอันดับที่สามรองจากสถิติไร้พ่าย 35 นัดของบราซิล (1993–1996) และสเปน (2007–2009) นัดล่าสุดที่พวกเขาแพ้ คือนัดที่แพ้โปรตุเกส 1–0 ในยูฟ่าเนชันส์ลีก 2018–19 เมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 2018[19] หากนับเฉพาะเกมการแข่งขันทางการ อิตาลีไม่แพ้ใครมาแล้ว 27 นัด[20] เป็นสถิติที่ยาวนานเป็นอันดับที่สองรองจากสเปนที่ทำได้ 29 นัดตั้งแต่ ค.ศ. 2010 ถึง 2013[21][22]

อังกฤษเพิ่งเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยเข้ารอบรองชนะเลิศสองครั้งในปี 1968 (แพ้ยูโกสลาเวีย) และ 1996 (แพ้เยอรมนี) นี่เป็นการเข้าชิงชนะเลิศในรายการใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ อังกฤษเป็นชาติที่สามในศตวรรษที่ 21 ที่เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในบ้านของตัวเอง ต่อจากโปรตุเกสในปี 2004 และฝรั่งเศสในปี 2016 อย่างไรก็ตาม สองชาติก่อนหน้าต่างก็แพ้ในนัดชิงชนะเลิศ โดยโปรตุเกสแพ้กรีซในปี 2004 ในขณะที่ฝรั่งเศสแพ้โปรตุเกสในปี 2016 นอกเหนือจากการชนะเลิศของอิตาลีในฐานะเจ้าภาพเมื่อปี 1968 แล้ว มีเพียงสองครั้งเท่านั้นที่มีการชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในบ้านของตัวเอง ได้แก่ สเปนที่ชนะเลิศในปี 1964 และฝรั่งเศสที่ชนะเลิศในปี 1984)[23] อิตาลีต้องการความสำเร็จในการแข่งขันรายการใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังจากที่พวกเขาชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ด้วยการยิงลูกโทษเหนือฝรั่งเศสที่โอลิมเปียชตาดิโยนในกรุงเบอร์ลิน[24] นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการพลิกสถานการณ์จากการที่พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกในการไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อิตาลีไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกนับตั้งแต่ปี 1958[25]

ทั้งสองทีมพบกันมาแล้ว 27 ครั้ง อิตาลีชนะ 10 ครั้ง อังกฤษชนะ 8 ครั้ง และเสมอกันอีก 9 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่โรมใน ค.ศ. 1933 ซึ่งทั้งคู่เสมอกับ 1–1 และครั้งล่าสุดที่พบกันคือเกมกระชับมิตรที่ลอนดอนในปี 2018 ซึ่งก็จบลงด้วยเสมอ 1–1 เช่นกัน ขณะที่การพบกันในรายการแข่งขันใหญ่ทั้งหมดสี่ครั้งนั้น อิตาลีเป็นฝ่ายชนะทั้งหมด โดยประกอบไปด้วยการชนะในรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1980, รอบชิงอันดับที่สามในฟุตบอลโลก 1990, รอบก่อนรองชนะเลิศในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 (ชนะการยิงลูกโทษ) และรอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลก 2014[26][27]

ใกล้เคียง

ฟุตบอล ฟุตบอลโลก ฟุตบอลทีมชาติไทย ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี ฟุตบอลโลก 2022 ฟุตบอลทีมชาติบราซิล ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ฟุตบอลโลก 2018

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป_2020_นัดชิงชนะเลิศ http://origin1904-p.cxm.fifa.com/fifa-world-rankin... http://www.rsssf.com/tablesi/ital-intres.html http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_fr... http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_lu... //www.worldcat.org/issn/0140-0460 http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/2735143.stm http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/world_cup... https://www.11v11.com/teams/england/tab/opposingTe... https://www.aljazeera.com/sports/2021/7/11/euro-20... https://apnews.com/article/euro-2020-sports-health...