เส้นทางสู่นัดชิงชนะเลิศ ของ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป_2020_นัดชิงชนะเลิศ

อิตาลีรอบอังกฤษ
คู่แข่งขันผลการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มคู่แข่งขันผลการแข่งขัน
 ตุรกี3–0นัดที่ 1 โครเอเชีย1–0
 สวิตเซอร์แลนด์3–0นัดที่ 2 สกอตแลนด์0–0
 เวลส์1–0นัดที่ 3 เช็กเกีย1–0
กลุ่มเอ ชนะเลิศ
อันดับทีมเล่นคะแนน
1 อิตาลี (H)39
2 เวลส์34
3 สวิตเซอร์แลนด์34
4 ตุรกี30
แหล่งที่มา : ยูฟ่า
(H) เจ้าภาพ.
ตารางคะแนนกลุ่มดี ชนะเลิศ
อันดับทีมเล่นคะแนน
1 อังกฤษ (H)37
2 โครเอเชีย34
3 เช็กเกีย34
4 สกอตแลนด์ (H)31
แหล่งที่มา : ยูฟ่า
(H) เจ้าภาพ.
คู่แข่งขันผลการแข่งขันรอบแพ้คัดออกคู่แข่งขันผลการแข่งขัน
 ออสเตรีย2–1
(หลังต่อเวลาพิเศษ)
รอบ 16 ทีมสุดท้าย เยอรมนี2–0
 เบลเยียม2–1รอบก่อนรองชนะเลิศ ยูเครน4–0
 สเปน1–1
(หลังต่อเวลาพิเศษ)
(ดวลลูกโทษ 4–2)
รอบรองชนะเลิศ เดนมาร์ก2–1
(หลังต่อเวลาพิเศษ)

อิตาลี

อิตาลีผ่านรอบคัดเลือกด้วยการชนะรวดทั้ง 10 นัดและจบเป็นอันดับที่หนึ่งของกลุ่มเจ พวกเขาถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มเอร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์ ตุรกีและเวลส์ เนื่องจากอิตาลีเป็นหนึ่งในเจ้าภาพ พวกเขาจึงได้ลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่มที่สตาดิโอ โอลิมปิโกในกรุงโรมครบทั้งสามนัด อิตาลีเปิดสนามด้วยการเอาชนะตุรกี 3–0 โดยเริ่มจากการทำเข้าประตูตัวเองของเมรีฮ์ เดมีรัลในนาทีที่ 53 ก่อนที่ชีโร อิมโมบีเลและโลเรนโซ อินซิญเญจะทำอีกคนละประตู[28][29] นัดถัดมา อิตาลีเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ที่มีแนวรับค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยผล 3–0 โดยมานูเอล โลกาเตลลีทำสองประตูแรกและชีโร อิมโมบีเลทำประตูสุดท้าย ช่วยให้อิตาลีการันตีการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้ว่าจอร์โจ กีเอลลีนีจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม[30][31] และในนัดสุดท้ายของกลุ่ม อิตาลีซึ่งหมุนเวียนใช้ผู้เล่นตัวสำรองเบียดเอาชนะเวลส์ไปได้ 1–0 โดยได้ประตูชัยจากมัตเตโอ เปสซีนาในช่วงครึ่งแรก[32][33] อิตาลีกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ชนะรวดในรอบแบ่งกลุ่มโดยไม่เสียประตูเลย[34]

ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่แข่งขันที่เวมบลีย์ อิตาลีต้องพบกับออสเตรียซึ่งจบอันดับที่สองของกลุ่มซี ออสเตรียได้ประตูขึ้นนำจากมาร์กอ อาร์นาอูตอวิชในนาทีที่ 67 แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากลำหน้า ทำให้ทั้งคู่ยังคงเสมอกันในเวลาแบบไร้ประตู ต่อมาในครึ่งแรกของช่วงต่อเวลาพิเศษ อิตาลีได้ประตูขึ้นนำ 2–0 จากตัวสำรองอย่างเฟเดรีโก กีเอซาและเปสซีนา แม้ว่าจะเสียประตูให้กับซาชา กาไลจิชในครึ่งหลังของการต่อเวลา (เป็นประตูแรกที่อิตาลีเสียในทัวร์นาเมนต์นี้) แต่อิตาลีก็ยังสามารถผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้[35][36]

ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่อัลลีอันทซ์อาเรนาในมิวนิก อิตาลีต้องพบกับทีมที่มีอันดับโลกฟีฟ่าเป็นอันดับที่หนึ่งอย่างเบลเยียม นีโกเลาะ บาเรลลาทำประตูขึ้นนำให้กับอิตาลีในนาทีที่ 31 ก่อนที่อินซิญเญจะทำประตูทิ้งห่างในนาทีที่ 44 อย่างไรก็ตาม โรเมลู ลูกากูทำประตูตีไข่แตกให้กับเบลเยียมด้วยการยิงลูกโทษก่อนจบครึ่งแรกไม่นานนัก แม้ว่าในช่วงครึ่งหลัง เลโอนาร์โด สปีนัซโซลาได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถลงเล่นในนัดที่เหลือของทัวร์นาเมนต์ได้[37] แต่อิตาลียังคงรักษาผลและเอาชนะเบลเยียม ผ่านเข้าสู่รอบถัดไปได้สำเร็จ[38][39] ชัยชนะครั้งนี้ ทำให้อิตาลีเป็นชาติที่ชนะทั้งในรอบคัดเลือกและรอบสุดท้ายของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปติดต่อกันมากที่สุดที่ 15 นัด[40]

อิตาลีกลับไปเล่นที่เวมบลีย์อีกครั้งเพื่อพบกับสเปนในรอบรองชนะเลิศ ทำให้ทั้งสองทีมพบกันในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมาแล้วถึงสี่ครั้งติดต่อกัน ภายใต้เกมที่เน้นการครองบอลอันตึงเครียด กีเอซาทำประตูขึ้นนำให้กับอิตาลีในนาทีที่ 60 อย่างไรก็ตาม อัลบาโร โมราตาทำประตูตีเสมอให้กับสเปนในอีก 20 นาทีต่อมา ทำให้เกมจบลงด้วยผล 1–1 และไม่มีการทำประตูเพิ่มในช่วงต่อเวลาพิเศษ จึงต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ คนยิงคนแรกของทั้งสองทีมอย่างโลกาเตลลีและดานิ โอลโมต่างก็ยิงลูกโทษไม่เข้า ก่อนที่จันลุยจี ดอนนารุมมาจะสามารถเซฟลูกยิงของโมราตาซึ่งเป็นคนยิงคนที่สี่ของสเปน ฌอร์ฌิญญูซึ่งเป็นคนยิงคนที่ห้าของอิตาลี สามารถยิงลูกโทษเข้าไปได้ ทำให้อิตาลีเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 2012[41][42]

อังกฤษ

อังกฤษผ่านรอบคัดเลือกหลังจบเป็นอันดับที่หนึ่งของกลุ่มเอ โดยพวกเขาชนะ 7 นัดและแพ้เพียงนัดเดียว พวกเขาถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มดี โดยจะได้ลงเล่นที่สนามเหย้าของตนเองอย่างเวมบลีย์ครบทั้งสามนัดเหมือนกับอิตาลี อังกฤษอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเจ้าภาพร่วมและคู่ปรับร่วมเกาะอย่างสกอตแลนด์ คู่แข่งที่เพิ่งเจอกันในรอบคัดเลือกอย่างเช็กเกีย และทีมที่ทำให้พวกเขาตกรอบฟุตบอลโลก 2018 อย่างโครเอเชีย อังกฤษประเดิมสนามด้วยการเฉือนชนะโครเอเชีย 1–0 โดยได้ประตูชัยจากราฮีม สเตอร์ลิงในนาทีที่ 57 ทำให้อังกฤษชนะในนัดเปิดสนามของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรก[43][44] ต่อมาในนัดที่สอง อังกฤษเสมอกับคู่ปรับร่วมเกาะอย่างสกอตแลนด์แบบไร้ประตูทั้งที่มีโอกาสทำประตูอยู่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม อังกฤษสามารถการันตีเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ[45][46] อังกฤษเอาชนะเช็กเกียในนัดสุดท้ายของกลุ่มด้วยผล 1–0 โดยได้ประตูชัยจากสเตอร์ลิงอีกครั้ง ทำให้อังกฤษกลายเป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่จบอันดับที่หนึ่งของกลุ่มทั้งที่ทำได้เพียงสองประตู[47] อังกฤษจะได้ลงเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่เวมบลีย์ โดยจะพบกับทีมอันดับที่สองจากกลุ่มเอฟ[48]

ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่เวมบลีย์ อังกฤษต้องพบกับเยอรมนีซึ่งถือเป็นคู่ปรับสำคัญ สเตอร์ลิงทำประตูขึ้นนำให้กับอังกฤษได้ในนาทีที่ 75 เยอรมนีเกือบได้ประตูตีเสมอจากโทมัส มึลเลอร์ที่วิ่งสวนกลับเพื่อทำประตูแต่ยิงหลุดกรอบไป ก่อนที่แฮร์รี เคนจะทำประตูที่สองให้กับอังกฤษ ช่วยให้อังกฤษเอาชนะเยอรมนีไปได้ 2–0 นับเป็นครั้งแรกที่อังกฤษชนะเยอรมนีในรอบแพ้คัดออกของการแข่งขันรายการใหญ่ต่อจากฟุตบอลโลก 1966 รอบชิงชนะเลิศ[49][50]

ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่สตาดิโอ โอลิมปิโกในโรม (ซึ่งเป็นนัดเดียวของทัวร์นาเมนต์ที่อังกฤษไม่ได้ลงเล่นที่เวมบลีย์) อังกฤษสามารถถล่มเอาชนะทีมม้ามืดอย่างยูเครนไปได้ 4–0 โดยได้สองประตูจากเคนและอีกคนละประตูของแฮร์รี แมไกวร์และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ซึ่งทำประตูแรกในนามทีมชาติได้) นี่เป็นชัยชนะที่มากที่สุดของอังกฤษในการแข่งขันรายการใหญ่[51][52]

ในรอบรองชนะเลิศ อังกฤษเป็นเจ้าภาพต้อนรับการมาเยือนของเดนมาร์ก อังกฤษเสียประตูแรกในทัวร์นาเมนต์จากลูกยิงฟรีคิกของมีเกิล ตัมส์กอร์ซึ่งจอร์แดน พิกฟอร์ดยากที่จะรับได้ อย่างไรก็ตาม อังกฤษตามตีเสมอได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาทีจากการทำเข้าประตูตัวเองของซีโมน แคร์ ผลจบลงด้วยการเสมอ 1–1 ในเวลาปกติ ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ สเตอร์ลิงถูกทำฟาล์วและเรียกจุดโทษให้กับอังกฤษได้ในครึ่งแรกของการต่อเวลา แฮร์รี เคนสามารถยิงลูกโทษจากการซ้ำเข้าไปได้แม้ว่าจะถูกเซฟโดยแคสเปอร์ สไมเกิลในครั้งแรกก็ตาม ทำให้เขาสามารถทำประตูที่สี่ในทัวร์นาเมนต์ ช่วยให้อังกฤษพลิกขึ้นนำ 2–1 และจบเกมด้วยผลนี้ อังกฤษเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรก และเข้าชิงชนะเลิศการแข่งขันรายการใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ[53][54] สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2, นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร บอริส จอห์นสัน และนายกสมาคมฟุตบอล เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งเคมบริดจ์ ร่วมแสดงความยินดีกับอังกฤษและอวยพรให้ทีมโชคดีในนัดชิงชนะเลิศ[55]

ใกล้เคียง

ฟุตบอลโลก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 ฟุตบอล ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี ฟุตบอลทีมชาติอิตาลี ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ฟุตบอลทีมชาติยูเครน ฟุตบอลทีมชาติไทย

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป_2020_นัดชิงชนะเลิศ http://origin1904-p.cxm.fifa.com/fifa-world-rankin... http://www.rsssf.com/tablesi/ital-intres.html http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_fr... http://www.uefa.com/newsfiles/euro/2020/2024491_lu... //www.worldcat.org/issn/0140-0460 http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/2735143.stm http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/world_cup... https://www.11v11.com/teams/england/tab/opposingTe... https://www.aljazeera.com/sports/2021/7/11/euro-20... https://apnews.com/article/euro-2020-sports-health...