ข้อวิพากษ์วิจารณ์ ของ ยิ่งลักษณ์_ชินวัตร

ส่วนนี้ของบทความอาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป

การซื้อขายหุ้นชินคอร์ป

ทักษิณ ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่ยิ่งลักษณ์เมื่อ พ.ศ. 2543 จำนวน 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ซึ่งขณะนั้น ราคาหุ้นดังกล่าวที่ซื้อขายกันในตลาด มีมูลค่า 150 บาท ทำให้ยิ่งลักษณ์ได้ผลประโยชน์หรือส่วนต่างประมาณ 280 ล้านบาท โดยเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งขณะนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสอบสวนการทุจริต

ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงที่ครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ มีการเจรจาขายหุ้นชินคอร์ปครั้งประวัติศาสตร์กว่า 70,000 ล้านบาท ให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก เพื่อขจัดข้อครหาผลประโยชน์แฝง ในการบริหารประเทศของทักษิณ[95] ที่ถูกกล่าวหาว่าอาศัยอำนาจทางการเมือง เอื้อต่อธุรกิจของครอบครัว[96]นั้น พบว่าระดับราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้พบว่า ผู้บริหารกลุ่มชินคอร์ปก็มีการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในชินคอร์ปจำนวน 20 ล้านหุ้น ซึ่งได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็ก ไปพร้อมกับครอบครัวนั้น ในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548-มกราคม พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเจรจาการซื้อขายหุ้นอย่างชัดเจน โดยในช่วงเดือนเศษ มีการเทขายหุ้น บมจ.เอไอเอส 11 ครั้ง เป็นจำนวน 278,400 หุ้น ในระดับราคาตั้งแต่ 101-113 บาทต่อหุ้น ในกรณีนี้ถือเป็นข้อกังขาว่า ยิ่งลักษณ์ใช้ข้อมูลอินไซเดอร์หรือไม่ เพราะยิ่งลักษณ์เป็นหนึ่งในผู้ที่ตกลงขายหุ้นให้แก่เทมาเส็ก ยอมรับทราบข้อมูลการเจรจาตกลงเป็นอย่างดี การที่ขายหุ้น บมจ.เอไอเอสอย่างต่อเนื่องเช่นนั้น ในขณะที่ต่อมาทางกลุ่มผู้ซื้อ ประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น บมจ.เอไอเอส ในราคาเพียงหุ้นละ 72.31 บาท[97]

หุ้นเอสซีแอสเซต

ใน พ.ศ. 2543 มีการขายหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทคอร์ปอเรชั่น และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอีก 5 แห่ง ให้บริษัทวินมาร์ค จำกัด (Win Mark Limited) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน และวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2546 บจก.วินมาร์ค โอนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ทั้งหมด ให้กองทุนรวมแวลูอินเวสเมนท์ (Value Investment Mutual Fund Inc.) หรือวีไอเอฟ และวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2546 วีไอเอฟโอนหุ้น บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ทั้งหมดให้กองทุนโอเวอร์ซีส์โกรวธ์ (Overseas Growth Fund Inc.) หรือโอจีเอฟ และกองทุนออฟชอร์ไดนามิค (Offshore Dynamic Fund Inc.) หรือโอดีเอฟ

วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2546 วีไอเอฟสละสิทธิ์การซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.เอสซีแอสเสทฯ ในราคาพาร์ให้บุตรสาวสองคนของทักษิณ ทั้งที่ในการประชุมครั้งเดียวกันนั้น มีวาระให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย เป็นเหตุให้วีไอเอฟต้องเสียผลประโยชน์ จากส่วนต่างของราคาหุ้น ต่อมาใน พ.ศ. 2547 บจก.วินมาร์คขายหุ้นบริษัทของครอบครัวชินวัตร 5 แห่ง ให้พิณทองทา ชินวัตร และบริษัทของครอบครัวชินวัตรอื่นอีก 2 บริษัทรวมเป็นเงิน 18.8 ล้านดอลลาร์ โดย บจก.วินมาร์คไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสงสัยว่า บจก.วินมาร์ค วีไอเอฟ โอจีเอฟ และโอดีเอฟ อาจเป็นนิติบุคคลอำพรางการถือหุ้น (นอมินี) ของทักษิณและครอบครัว[98] อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าความเป็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตร กับความวุ่นวายของคดีความที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเอสซีแอสเสทหรือไม่ ยิ่งลักษณ์ตอบว่า "90% ของลูกค้าที่เข้าชมโครงการ รับรู้อยู่แล้วว่าธุรกิจเราเป็นของใครตั้งแต่ทำมา เพิ่งมีลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ขอเงินคืน หลังจากที่รู้ว่าเราเป็นใคร เพราะไม่มั่นใจว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร"[99]

ยิ่งลักษณ์ยังถูกกล่าวหาว่า ช่วยทักษิณปกปิดทรัพย์สิน โดยยิ่งลักษณ์ได้รับหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น 0.68% จาก ทั้งหมด 46.87% ที่ทักษิณและคุณหญิงพจมานมีอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2542[100] และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ระบุว่ายิ่งลักษณ์ทำธุรกรรมเท็จ โดยเธอกล่าวว่า "ครอบครัวของเธอตกเป็นเหยื่อทางการเมือง"

โดยภายหลังจากการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงโดยผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถสรุปได้ ดังนี้[101]

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

กรณีโรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพ

ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์ย่านราชดำริ ในระหว่างที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีผู้นำไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง[102] จนก่อให้เกิดการยืนประท้วงกลางที่ประชุมสภาฯ ทำให้ต้องปิดการประชุมสภาฯ ในวันนั้นทันที[103] ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ชวนนท์ เทพไท และศิริโชค นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ พูดจาสองแง่ สองง่าม ดูถูกความเป็นเพศหญิง[104]

ภายหลังที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงโดยยังไม่ถือว่านายกรัฐมนตรีขาดประชุมตามระเบียบว่าด้วยการลาการประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2548 จึงยังมิอาจถือได้ว่ามีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 การประชุมในวันดังกล่าวในช่วงแรก ๆ ของการประชุมยังไม่มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องชี้แจงต่อที่ประชุม และเมื่อมีงานในความรับผิดชอบที่ต้องเร่งรัด เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จึงมิได้อยู่ร่วมในห้องประชุมสภาในช่วงต้น แต่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงเดินทางกลับเพื่อร่วมรับฟังโดยทั้งได้ลงชื่อการประชุมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[104] ส่วนกรณีร้องเรียนว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องในทางชู้สาวผู้ตรวจการฯ เห็นว่าสถานที่นั้นเป็นสถานที่เปิดเผยและมีผู้ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีหลายคน ประกอบกับไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานหลักฐานที่ชี้ชัดได้ว่ามีการกระทำส่อไปในทางชู้สาว จึงมิอาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 จึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณา[104]

หุ่นเชิด

นักวิจารณ์รีบชี้ให้ความขาดประสบการณ์การเมืองของยิ่งลักษณ์ โดยว่า เหตุผลหลักที่เธอได้ตำแหน่งเพราะเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท. ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งแนะว่า บทบาทหลักของเธอคือเพื่อผนึกกำลังผู้ภักดีต่อทักษิณ คือ ผู้ออกเสียงเลือกตั้งชนบทยากจนเป็นหลักผู้รักษาเขาในอำนาจ แล้วทำหน้าที่เป็นผู้แทนโดยเขาปกครองจากโพ้นทะเล[69]

ความผิดพลาดต่อหน้าสาธารณชน

ยิ่งลักษณ์มีความผิดพลาดต่อหน้าสาธารณชนหลายครั้ง ทั้งเรื่องการใช้คำผิด เช่นหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก หรือการอ่านคำว่าคอนกรีต ผิดเป็น คอ-นก-รีต รวมไปถึงการให้คำนิยามของสถานที่ผิด อย่างอำเภอหาดใหญ่เป็นจังหวัดหาดใหญ่ หรือกรณีเรียกเมืองซิดนีย์ เป็นประเทศซิดนีย์ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ภาษาอังกฤษผิดพลาด ขณะต้อนรับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ และการเยือนต่างประเทศหลายครั้ง[ต้องการอ้างอิง][105] การพูดผิดต่อหน้าสาธารณชนของยิ่งลักษณ์ ระหว่างรับเชิญในรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” โดยเรียกตำแหน่งผู้นำประเทศมาเลเซียว่าประธานาธิบดี ทั้งที่ตำแหน่งผู้นำของมาเลเซียคือนายกรัฐมนตรี[106] ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ยังพบว่ามีการกล่าวค่าประจำหลักตัวเลขผิดพลาด โดยจำนวนตัวเลขดังกล่าวคือ 53,918 ล้านบาท หรือห้าหมื่นสามพันเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท เธอกลับกล่าวว่า ห้าหมื่นสามแสนเก้าร้อยสิบแปดล้านบาท[107]

ในระหว่างพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ยิ่งลักษณ์ยืนก้มหน้าและใช้มือกดโทรศัพท์มือถือ จนเป็นที่วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมระหว่างรอเข้าสู่พิธีการสำคัญ[108] โดยพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท. ทักษิณ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของยิ่งลักษณ์ ชี้แจงแทนผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่า เธอกำลังปิดโทรศัพท์ก่อนเริ่มพิธีฯ เนื่องจากในภาพ ตำแหน่งของยิ่งลักษณ์ยืนอยู่หลังผู้บัญชาการเหล่าทัพ แต่ตามตำแหน่งริ้วขบวนในพิธี เธอจะต้องยืนอยู่หน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพ[109]

ใกล้เคียง

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยิ่งยง ยอดบัวงาม ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ยิ่งพันธ์ มนะสิการ ยิ่งยง โอภากุล ยิ่งศักดิ์ โควสุรัตน์ ยิ่งห้ามยิ่งหวั่นไหว ยิ่งรู้จัก ยิ่งรักเธอ การยิงลูกโทษ

แหล่งที่มา

WikiPedia: ยิ่งลักษณ์_ชินวัตร http://www.china.org.cn/world/2014-05/08/content_3... http://www.womenofchina.cn/womenofchina/html1/news... http://asiancorrespondent.com/57508/abhisit-conced... http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics... http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics... http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/770224 http://www.bangkokpost.com/business/news/389909/yi... http://www.bangkokpost.com/news/politics/218585/yi... http://www.bangkokpost.com/news/politics/232901/on... http://www.bangkokpost.com/news/politics/237363/yi...