นายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ของ รอเบิร์ต_พีล

เมลเบิร์นยุบสภาในปี 2384 ผลจากการเปลี่ยนแปลงภายในของพรรคในชวงหกปีก่อนหน้าทำให้พรรคอนุรักษนิยมได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น พีลจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง โดยมีตำแหน่งสำคัญดังต่อไปนี้

  • นายกรัฐมนตรี - เซอร์ รอเบิร์ต พีล
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ - เอิร์ลแห่งแอเบอร์ดีน
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง - เฮนรี โกลเบิร์น
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย - เซอร์ เจมส์ เกรแฮม

สมานฉันท์ในไอร์แลนด์

แดเนีล โอคอนเนล

การกลับมาของพีลทำให้ ผู้แทนคนสำคัญของไอร์แลนด์อย่าง แดเนียล โอคอนเนลล์ ต้องกลับไปอยู่ในฝ่ายค้านอีกครั้ง หลังจากที่เขาสามารถทำให้ชาวคาทอลิกสามารถเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองได้แล้ว ครั้งนี้เขารณรงค์เพื่อยกเลิกพระราชบัญญัติรวมชาติ เพื่อให้ไอร์แลนด์ไม่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร เขาได้วางแผนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ที่เมืองคลอนทาฟ (Monster Meeting) ในเดือนตุลาคม 2386 หลังจากเกิดการชุมนุมนับแสนคนที่เมืองทารา พีลเกิดความกังวลว่าการชุมนุมที่คลอนทาฟนี้อาจจะก่อให้เกิดการนองเลือด จึงสั่งแบนการชุมนุมดังกล่าว โอคอนเนลล์ยังฝ่าฝืนจึงถูกจับในข้อหากบฏ ทำให้เหตุการณ์ในไอร์แลนด์สงบลงไปชั่วคราว เพื่อป้องกันปัญหาต่อๆมา พีลจึงได้ดูแลนโยบายเกี่ยวกับไอร์แลนด์เป็นพิเศษซึ่งรวมไปถึงการปรับปรุงการใช้พื้นที่ในไอร์แลนด์เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมให้ดียิ่งขึ้น การเพิ่มค่าบำรุงให้กับโรงเรียนสอนศาสนาคาทอลิกเมย์นูธ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยในไอร์แลนด์ถึงสามแห่งที่เบลฟาสต์ กอลเวย์ และคอร์ก

นโยบายการคลัง

หนึ่งเหตุผลที่ทำให้กลุ่มวิกพ่ายแพ้การเลือกตั้งนั้นเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ พีลแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณด้วยการเปลี่ยนระบบภาษีครั้งใหญ่ ด้วยความที่เขาเป็นคนที่เชื่อในหลักการค้าเสรีอยู่แล้ว เขาจึงให้ลดภาษีอากรการนำเข้าสินค้าเกือบทั้งหมด รวมไปถึงการลดอากรสินค้าต่างๆภายในประเทศซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นภาษีสำหรับคนจนอีกด้วยเพื่อให้ราคาของสินค้าถูกลง ทั้งนี้เขาได้ให้มีการริเริ่มใช้ระบบภาษีเงินได้ในช่วงปลอดสงครามเป็นครั้งแรกในอังกฤษในปี 2385 (Income Tax Act, 1842) โดยอัตราภาษีมีอัตราเดียวที่ เจ็ดเพนซ์ต่อปอนด์สำหรับรายได้ที่มากกว่า 150 ปอนด์ หรือประมาณ 2.9% การเปลี่ยนระบบครั้งนี้ทำให้รัฐบาลสามารถกลับมาอยู่ในสภาวะเกินดุลงบประมาณได้อีกครั้ง และทำให้พีลสามารถลดภาษีนำเข้าได้เพิ่มขึ้นอีกในปีถัดๆไป ทำให้อังกฤษเริ่มมุ่งเข้าสู่ระบบการค้าเสรีได้ตามที่เขาหวังไว้ นอกจากนี้รัฐบาลของพีลยังได้ผ่านพระราชบัญญัติควบคุมธนาคาร (Bank Charter Act, 1843) ในปี 2387 ซึ่งนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของระบบ gold standard ในคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้าอีกด้วย

พระราชบัญญัติควบคุมโรงงาน

พีลได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติควบคุมโรงงาน (Factory Act, 1844) ซึ่งจำกัดการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่าสิบสามปีให้ไม่สามารถทำงานได้เกินวันละหกชั่วโมง กฎหมายฉบับนี้ยังได้ให้มีการควบคุมความปลอดภัยและความสะอาดของโรงงานมากขึ้นอีกด้วย โดยบังคับให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตของพนักงานทุกคนเป็นครั้งแรก นอกจากกฎหมายฉบับนี้แล้ว รัฐบาลของพีลยังได้มีการออกกฎหมายควบคุมเหมืองถ่านหิน (Coal Mines Act, 1842) เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้นของคนงานในเหมืองอีกด้วย

วิกฤติการณ์ขาดอาหารในไอร์แลนด์และการยกเลิกกฎหมายอากรข้าวโพด

ในฤดูใบไม้ร่วง 2388 เกิดเหตุโรคระบาดในมันฝรั่งในไอร์แลนด์ ทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวมันฝรั่งซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวไอริชได้กว่า 60% ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในไอร์แลนด์ซึ่งสุดท้ายแล้วทำให้มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากอดอาหารและโรคอหิวาต์ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการพยายามเอาชีวิตรอดด้วยการรับประทานทุกอย่างที่สามารถหาได้กว่าหนึ่งล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในแปดของประชากรทั้งหมดในไอร์แลนด์ในขณะนั้น รัฐบาลของพีลจึงตอบสนองด้วยการสั่งซื้อข้าวโพดมูลค่าหนึ่งแสนปอนด์มาจากอเมริกาเพื่อใช้เป็นอาหารทดแทนแต่ในขณะนั้น รัฐบาลของสหราชอาณาจักรมีกฎหมายเก็บอากรข้าวโพดที่นำเข้า จึงทำให้รัฐบาลต้องซื้อข้าวโพดในราคาที่แพงขึ้น พีลเองเห็นว่าไม่เป็นการดีที่จะต้องให้การช่วยเหลือส่วนนี้ตกเป็นภาระของประชาชนจึงมีความคิดที่จะยกเลิกอากรข้าวโพดเสีย

ริชาร์ด ค็อบเดน

ในเมืองมกราคม 2389 พีลจึงเสนอให้มีการยกเลิกอากรข้าวโพด โดยค่อยๆลดอัตราอากรไปเรื่อยๆเป็นเวลาสามปีจนหมดในปี 2392 การประกาศครั้งนี้ก่อให้เกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ในพรรคอนุรักษนิยม โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากชาวไร่นั่นไม่ต้องการให้มีการยกเลิกเนื่องจากต้องการปกป้องอาชีพของชาวไร่ซึ่งจะต้องพบกับปัญหาถ้าหากต้องแข่งราคากับข้าวโพดที่มีราคาถูกกว่าจากทางอเมริกา กลุ่มนี้นำโดย ลอร์ดจอร์จ เบนทิงค์ ดยุกแห่งบัคกิ้งแฮมเชียร์ และ ลอร์ดสแตนลีย์ กับ เบนจามิน ดิสราเอลี ซึงภายหลังจากได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ส่วนอีกฝ่ายของพรรคซึ่งนำโดย เซอร์เจมส์ เกรแฮม เอ็ดเวิร์ด คาร์ดเวล และ เอิร์ลแห่งแอเบอร์ดีน กับ วิลเลียม แกลดสตัน ซึ่งในอนาคตจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

แม้ว่าครึ่งหนึ่งของรัฐบาลจะต่อต้านการยกเลิก พีลก็สามารถนำร่างพระราชบัญญัติผ่านสภาผู้แทนฯไปได้ด้วยการสนันสนุนจากฝ่ายค้าน ทั้งกลุ่มวิกซึ่งนำโดย ลอร์ด จอห์น รัสเซล กับ ไวเคานต์พาลเมอร์สตัน สองอนาคตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มแมนเชสเตอร์สกูลซึ่งนำโดย ริชาร์ด ค็อบเดน กับ จอห์น ไบรท์ ผู้มีชื่อเสียงจากการรณรงค์สนับสนุนระบบการค้าเสรีและเป็นผู้นำของสันนิบาตต่อต้านอากรข้าวโพด (Anti-Corn Law League) มาพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นร่างฯจึงผ่านสภาสามัญชนไปได้ด้วยคะแนนเสียง 327 ต่อ 229 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2389 และยังสามารถผ่านสภาขุนนางไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้านายเก่าของพีลอย่างเวลลิงตันในวันที่ 25 มิถุนายน 2389

อย่างไรก็ดี การยกเลิกครั้งนี้ นักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าไม่น่าเป็นเพราะวิกฤติในไอร์แลนด์โดยตรงเนื่องจากพีลใช้เวลายกเลิกอากรถึงสามปี และหากเขาต้องการทำไปเพื่อช่วยไอร์แลนด์จริงๆเขาน่าจะยกเลิดชั่วคราวมากกว่าถาวร ฉะนั้นจึงน่าจะเกิดจากเหตุผลประการอื่นมากกว่า เหตุผลที่น่าจะสำคัญที่สุดน่าจะเป็นการที่พีลเป็นคนที่เชื่อในระบบการค้าเสรีอยู่แล้วโดยเห็นได้ชัดจากการที่เขาได้ลดภาษีนำเข้าเป็นจำนวนมากและยังเปลี่ยนระบบภาษีเพื่อให้กระทบต่อราคาสินค้าน้อยที่สุด ทั้งนี้เขายังได้รับความกดดันจากสันนิบาต และนิตยสารอีโคโนมิสต์ซึ่งก่อตั้งเพื่อกดดันด้านนี้ ดังนั้นการยกเลิกน่าจะเกิดจากการที่พีลเชื่อว่าระบบการค้าเสรีจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของอังกฤษ โดยมีวิกฤติในไอร์แลนด์เป็นตัวเร่งมากกว่า

การยกเลิกในครั้งนี้ทำให้ราคาของข้าวโพดในอังกฤษลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตซึ่งต้องพัฒนาระบบการเพาะปลูกให้ดียิ่งขึ้นเพื่อแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้ระบบการค้าเสรียังได้กลายเป็นระบบหลักที่ใช้ในอังกฤษตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้าและยังเป็นหลักการสำคัญในระบบการพาณิชย์ในปัจจุบันโดยเฉพาะประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกอีกด้วย การยกเลิกอากรข้าวโพดของพีลในครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลกเลยทีเดียวก็ว่าได้

ลาออกจากตำแหน่ง

แม้ว่าพรรคอนุรักษนิยมของพีลจะแตกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ พีลก็สามารถยกเลิกอากรข้าวโพดได้สำเร็จด้วยคะแนนจากฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตามพีลไม่โชคดีนักในการลงคะแนนเสียงผ่านร่างกฎหมายความปลอดภัยในไอร์แลนด์ (Irish Protection of Life Bill) ในช่วงค่ำวันเดียวกันนั้นเอง โดยร่างได้รับคะแนนเสียง 219 ต่อ 292 โดยที่กลุ่มฝ่ายค้ายกลับไปลงคะแนนต่อต้านอีกครั้ง ในขณะที่ครึ่งหนึ่งของรัฐบาลก็ลงเสียงไม่เห็นด้วยเช่นกัน พีลถือเหตุการณ์นี้เป็นคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจเขาจึงรอจนกฎหมายยกเลิกอากรข้าวโพดสามารถผ่ายสภาขุนนางไปก่อน และลาออกในวันที่ 29 มิถุนายน 2389 ลอร์ด จอห์น รัสเซลนำกลุ่มวิกตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

ใกล้เคียง

รอเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รอเบิร์ต พีล รอเบิร์ต เดอ นิโร รอเบิร์ตที่ 2 ดยุกแห่งนอร์มังดี รอเบิร์ต คาปา รอเบิร์ต จอห์นสัน รอเบิร์ต เกตส์ รอเบิร์ต จอห์น เบิร์ก รอเบิร์ต มูกาบี รอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก