ลมพิษ (
อังกฤษ: hives, urticaria) เป็น
ผื่นผิวหนังนูนสีแดงและคัน
[4] มักเกิดขึ้นหลัง
การติดเชื้อหรือเป็นผลมาจากการตอบสนองต่อ
สารก่อภูมิแพ้ ได้แก่ ยา (เช่น
โคดีอีน แอสไพริน ไอบิวพรอเฟน และ
เพนิซิลลิน) อาหาร (เช่น
สัตว์น้ำมีเปลือกแข็ง ถั่วเปลือกแข็ง ไข่ และ
ข้าวสาลี) และแมลงกัดต่อย รวมถึง
ความเครียด แสงแดด และอากาศหนาว
[2]โดยทั่วไปลมพิษมีสาเหตุมาจากการหลั่ง
ฮิสตามีนของร่างกายเพื่อตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งฮิสตามีนก่อให้เกิดการอักเสบเพื่อเตือนให้ร่างกายขจัดสารก่อภูมิแพ้และซ่อมแซมตัวเอง
[5] ลมพิษสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดตามระยะเวลา ได้แก่ ลมพิษเฉียบพลัน (เกิดขึ้นและหายไปเองภายใน 48 ชั่วโมง แต่ไม่นานเกิน 6 สัปดาห์) และลมพิษเรื้อรัง (เป็นนานเกิน 6 สัปดาห์)
[6] ลมพิษเป็นโรคที่กลับมาเกิดซ้ำได้
[2] และไม่ทิ้งร่องรอยบนผิวหนังในระยะยาว
[7]ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดลมพิษได้แก่
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และ
โรคหืด[3] การวินิจฉัยโรคจะใช้การซักประวัติตรวจร่างกาย และตรวจ patch testing เพื่อหาสารก่อภูมิแพ้
[2] การป้องกันทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรค การรักษาทั่วไปมักให้
สารต้านฮิสตามีน เช่น
ไดเฟนไฮดรามีน และ
แรนิทิดีน ในรายที่อาการร้ายแรงมักให้
คอร์ติโคสเตอรอยด์หรือ
สารต้านลิวโคไทรอีน ในรายที่มีอาการเกิน 6 สัปดาห์มักให้
ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น
ไซโคลสปอริน[2]ประชากรประมาณ 20% ได้รับผลกระทบจากลมพิษ อัตราส่วนระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในรายที่มีอาการระยะสั้นมีเท่ากัน แต่พบในผู้หญิงมากกว่าในรายที่มีอาการระยะยาว
[8] อาการระยะสั้นพบได้ทั่วไปในเด็ก ขณะที่อาการระยายาวพบได้ทั่วไปในวัยกลางคน
[8] ลมพิษเป็นโรคที่มีบันทึกมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โดย
ฮิปพอคราทีส แพทย์ชาวกรีกกล่าวถึงโรคนี้ในชื่อ knidosis ซึ่งมาจากคำว่า knido แปลว่า ต้นตำแย ซึ่งเป็นพืชที่มีขนก่อให้เกิดอาการคัน
[9] คำว่า urticaria เริ่มใช้ครั้งแรกโดย
วิลเลียม คัลเลน แพทย์ชาวสกอตในปี ค.ศ. 1769
[10] โดยมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน urtica ที่แปลว่าต้นตำแยเช่นกัน
[11]