วงศ์คางคก (
อังกฤษ: Toads, True toads;
อีสาน: คันคาก) เป็น
วงศ์ของ
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำใน
อันดับกบ (Anura) วงศ์หนึ่ง ใช้
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bufonidae (/บู-โฟ-นิ-ดี/)ลักษณะทั่วไปของคางคก คือ
ลูกอ๊อดทั้ง
ตัวผู้และ
ตัวเมียตัวเต็มวัยมีอวัยวะบิดเดอร์อยู่ด้านหน้าของ
อัณฑะ ซึ่งเป็น
รังไข่ขนาดเล็กที่เจริญมาจากระยะ
เอมบริโอและยังคงรูปร่างอยู่ แฟทบอดีส์อยู่ในช่องท้องบริเวณขาหนีบ กระดูกของกะโหลกเชื่อมต่อกันแข็งแรง รวมทั้งเชื่อมกับกระดูกในชั้นหนังที่ปกคลุมหัว ไม่มี
ฟันทั้งในขากรรไกรบนและล่าง และถือเป็นเพียงวงศ์เดียวเท่านั้นในอันดับกบที่ไม่มีฟัน มี
กระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 5-8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของไพรซีลัสคางคก เป็นสัตว์ที่รู้กันโดยทั่วไปว่า มี
พิษ ที่
ผิวหนังเป็นปุ่มตะปุ่มตะป่ำตลอดทั้งตัว โดยมีต่อมพิษอยู่ที่เหนือตา เรียกว่า ต่อมพาโรติค เป็นที่เก็บและขับพิษออกมา เรียกว่า ยางคางคก มีลักษณะเป็น
เมือกสีขาวคล้าย
น้ำนม โดยส่วนประกอบของสารพิษ คือ สารบูโฟท็อกซิน มีผลต่อการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจบีบตัว และในส่วนอื่น ๆ ของคางคกยังมีพิษอีกทั้งผิวหนัง, เลือด, เครื่องใน และไข่ หากนำไปกินแล้วกรรม
วิธีการปรุงไม่ดี จะทำให้ ผู้กินได้รับพิษได้ ทั้งนี้ผู้รับประทานเนื้อคางคกที่มีพิษจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง คลื่นไส้
อาเจียน อ่อนเพลีย หายใจหอบ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงขั้น
เสียชีวิตได้ และหากยางคางคกถูกตาจะทำให้เยื่อบุตาและแก้วตาอักเสบได้ ตาพร่ามัว จนถึงขั้น
ตาบอดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่กินคางคกมัก
เชื่อว่ากินแล้วมีกำลังวังชาและรักษาโรคได้ แต่ความจริงแล้วคางคกไม่มีตัวยาแก้หรือรักษาโรคอะไรเลย
[2] เมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารจะอันตรายเพราะสารพิษจะกระตุ้นการทำงานของหัวใจ โดยเพิ่มอัตราการเต้นและแรงบีบของหัวใจ
[3]คางคก แบ่งออกเป็น 37
สกุล พบประมาณ 500
ชนิด พบกระจายพันธุ์ไปทั่วโลก ยกเว้น
ทวีปออสเตรเลียและ
ทวีปแอนตาร์กติกา ใน
ประเทศไทยพบได้หลายชนิด เช่น
จงโคร่ง (Phrynoidis aspera),
คางคกบ้าน (Duttaphrynus melanostictus),
คางคกห้วยไทย (Ansonia siamensis),
คางคกไฟ (Ingerophrynus parvus) เป็นต้น