ประวัติ ของ วิกตอร์_อูโก

วิกตอร์ อูโก เป็นบุตรคนที่สามและคนสุดท้องของโฌแซ็ฟ เลออปอล ซีฌิสแบร์ อูโก (1773–1828) และนางโซฟี เทรบูแช (1772-1821) เกิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1802[1] ที่เมืองเบอซ็องซง ในแคว้นฟร็องช์-กงเต พี่ชายของเขาสองคนคือ อาแบล โฌแซ็ฟ อูโก (1798–1855) และเออแฌน อูโก (1800–1837) เขาใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดของเขาในประเทศฝรั่งเศส โดยจำเป็นต้องลี้ภัยออกไปนอกประเทศชั่วเวลาหนึ่งระหว่างรัชสมัยของพระเจ้านโปเลียนที่สาม โดยไปอาศัยอยู่ในบรัสเซลส์ราว ค.ศ. 1851 ในเจอร์ซีย์ระหว่างปี 1852-1855 และในเกิร์นซีย์ตั้งแต่ ค.ศ. 1855-1870 กับอีกครั้งหนึ่งในปี 1872-1873 ซึ่งเขาเลือกจะลี้ภัยเองแม้มีการนิรโทษกรรมแล้วในปี ค.ศ. 1859

ในช่วงวัยเยาว์ของอูโกมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย ในคริสต์ศตวรรษก่อนหน้าที่เขาจะเกิด ราชวงศ์บูร์บงถูกโค่นลงในการปฏิวัติฝรั่งเศส ตามมาด้วยการรุ่งเรืองและล่มสลายของสาธารณรัฐแห่งแรก การรุ่งเรืองของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง การรวบอำนาจเผด็จการของนโปเลียน โบนาปาร์ต ซึ่งสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิหลังจากอูโกเกิดได้สองปี ราชวงศ์บูร์บงได้รับการสถาปนากลับมาอีกครั้งก่อนที่อูโกจะมีอายุครบ 18 ปี แนวคิดทางการเมืองและทางศาสนาที่ตรงข้ามกันของพ่อและแม่สะท้อนถึงแรงผลักดันในการสงครามในฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นตลอดช่วงชีวิตของเขา พ่อของอูโกเป็นนายทหารระดับสูงในกองทัพของนโปเลียน ซึ่งไม่นับถือพระเป็นเจ้าแต่ยกย่องนโปเลียนเป็นวีรบุรุษ ส่วนแม่ของเขาเป็นชาวคาทอลิกผู้เคร่งครัดและจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ครอบครัวของอูโกต้องย้ายบ้านบ่อย ๆ ตามการรับตำแหน่งของบิดา ทำให้อูโกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายระหว่างการเดินทาง ครั้งหนึ่งเมื่อครอบครัวของเขาเดินทางไปยังเนเปิลส์ อูโกได้เห็นช่องเขาแอลป์ขนาดใหญ่กับยอดสูงอันปกคลุมด้วยหิมะ เขาได้เห็นทะเลเมดิเตอเรเนียนสีน้ำเงินสด และได้เห็นงานเทศกาลรื่นเริงต่าง ๆ ในกรุงโรม แม้เวลานั้นเขาจะมีอายุเพียง 6 ปี แต่ก็สามารถจำการเดินทางครึ่งปีนั้นได้อย่างแม่นยำ พวกเขาอยู่ในเนเปิลส์หลายเดือนก่อนจะย้ายกลับมายังปารีส

โซฟีต้องติดตามสามีไปยังอิตาลี (เลออปอลได้เป็นข้าหลวงปกครองแคว้นแห่งหนึ่งใกล้เนเปิลส์) และสเปน (เขาได้เข้าควบคุมดูแลจังหวัดในสเปน 3 จังหวัด) เมื่อนางรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการโยกย้ายแบบชีวิตทหาร ประกอบกับความไม่พอใจกับความเชื่อทางศาสนาของสามี โซฟีจึงแยกอยู่กับเลออปอลชั่วคราวเมื่อ ค.ศ. 1803 โดยพำนักอยู่ในปารีส นางได้อุปการะเลี้ยงดูอูโกให้เติบโตขึ้นและรับการศึกษาจากที่นี่ ผลจากสิ่งนี้ทำให้งานกวีนิพนธ์และนิยายของอูโกในยุคแรก ๆ สะท้อนถึงความรู้สึกภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และความศรัทธา จนกระทั่งในช่วงหลัง เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1848 อูโกจึงเริ่มมีความคิดต่อต้านการศึกษาที่ภักดีต่อราชวงศ์และคาทอลิก หันไปยกย่องแนวคิดสาธารณรัฐนิยมและเสรีนิยม

กวีนิพนธ์และงานเขียนในช่วงต้น

วิกตอร์ อูโก ในวัยหนุ่ม

อูโกในวัยเยาว์ก็เป็นเหมือนกับนักเขียนอายุน้อยคนอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากฟร็องซัว-เรอเน เดอ ชาโตบรีย็อง นักเขียนผู้โดดเด่นและน่าหลงใหลซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมในยุคจินตนิยม และเป็นสัญลักษณ์แห่งวรรณกรชั้นเลิศของฝรั่งเศสในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 อูโกถึงกับตั้งปณิธานว่า จะต้องเป็นเหมือนชาโตบรีย็อง มิฉะนั้นก็ไม่เป็นอะไรเลย[2] ชีวิตของอูโกคล้ายคลึงกับชาโตบรีย็องในหลายด้าน ในเวลาต่อมา อูโกก็กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อวรรณกรรมยุคจินตนิยม และเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองในฐานะผู้นำแนวคิดสาธารณรัฐนิยม จนกระทั่งจำต้องลี้ภัยไปนอกประเทศจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตน

ผลงานของอูโกชิ้นแรก ๆ เปี่ยมด้วยเสน่ห์และวาทะน่าอ่าน จนกระทั่งเขาสามารถประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงได้ในเวลาอันรวดเร็ว งานกวีนิพนธ์ชุดแรกของเขา คือ Nouvelles Odes et Poésies Diverses ได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1824 ขณะที่เขามีอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น งานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลพระราชทานจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 18[3] แต่ถึงแม้งานนี้จะได้รับคำชมเชยอย่างมากมาย ทว่างานกวีนิพนธ์อีกชุดหนึ่ง คือ Odes et Ballades ที่ตีพิมพ์ในอีก 2 ปีต่อมา ได้เผยให้เห็นถึงอัจฉริยะทางกวีของอูโกยิ่งกว่า แสดงถึงความเก่งกาจอย่างเป็นธรรมชาติในการประพันธ์ถ้อยคำและท่วงทำนองของดนตรี

อูโกหนุ่มตกหลุมรักกับเพื่อนในวัยเด็กชื่อ อาแดล ฟูเช โดยที่แม่ของเขาไม่เห็นชอบด้วย เขาแอบหมั้นกับเธออย่างลับๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1821 เขาจึงได้แต่งงานกับเธออย่างเปิดเผยในปี ค.ศ. 1822[1] ทั้งสองมีบุตรชายคนโตชื่อ เลออปอล เกิดเมื่อ ค.ศ. 1823 แต่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก หลังจากนั้นอูโกมีบุตรอีก 4 คนคือ เลออโปลดีน (เกิด 28 สิงหาคม ค.ศ. 1824) ชาร์ล (เกิด 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1826) ฟร็องซัว-วิกตอร์ (เกิด 28 ตุลาคม ค.ศ. 1828) และอาแดล (เกิด 24 สิงหาคม ค.ศ. 1830)

หลังจากแต่งงาน อูโกตีพิมพ์นวนิยายเรื่องแรกของเขาในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1823 เรื่อง Han d'Islande[3] หลังจากนั้นอีก 3 ปีก็ได้ตีพิมพ์เรื่องที่สอง คือ Bug-Jargal ในปี ค.ศ. 1826 จากนั้นระหว่าง ค.ศ. 1829-1840 เขาได้ตีพิมพ์งานกวีนิพนธ์อีก 5 ชุด (Les Orientales, 1829; Les Feuilles d'automne, 1831; Les Chants du crépuscule, 1835; Les Voix intérieures, 1837; และ Les Rayons et les ombres, 1840) ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ยอมรับในฐานะกวีผู้ยิ่งใหญ่ด้านบทไว้อาลัยและบทลำนำในยุคสมัยนั้น

การสร้างผลงานสำคัญ

ภาพประกอบ คนค่อมแห่งน็อทร์-ดาม ฉบับดั้งเดิม วาดโดยอาลแฟรด บาร์บู (ค.ศ. 1831)

ผลงานนิยายชิ้นสำคัญชิ้นแรกของอูโกเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1929 สะท้อนถึงแนวคิดสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมที่แทรกอยู่ในงานช่วงหลัง ๆ ของเขาแทบทั้งหมด Le Dernier jour d'un condamné ("วันสุดท้ายของนักโทษประหาร") เป็นงานที่ส่งอิทธิพลต่อนักเขียนยุคต่อมาหลายคน เช่น อาลแบร์ กามูว์, ชาลส์ ดิกคินส์ และฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี งานเขียนเรื่อง Claude Gueux ในปี ค.ศ. 1834 เป็นเรื่องสั้นเชิงพรรณนาเกี่ยวกับชีวิตจริงของฆาตกรคนหนึ่งที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาอูโกยอมรับว่าเป็นงานนำร่องไปสู่ผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขาเกี่ยวกับความอยุติธรรมในสังคม เรื่อง Les Misérables ("เหยื่ออธรรม") แต่งานเขียนนวนิยายขนาดยาวเรื่องแรกของอูโกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงคือ Notre-Dame de Paris ("คนค่อมแห่งน็อทร์-ดาม") ที่ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1831 และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วยุโรปในเวลาอันรวดเร็ว[4] ผลกระทบหนึ่งจากนวนิยายเรื่องนี้คือมหาชนหลั่งไหลกันไปเยือนมหาวิหารโนเตรอดามหลังจากอ่านนวนิยาย ทำให้นครปารีสต้องละอายที่ทอดทิ้งมหาวิหารมิได้ฟื้นฟูบูรณะมาเป็นเวลานาน หนังสือเล่มนี้ยังส่งผลให้มีการปรับปรุงอาคารใหม่ให้เป็นแบบยุคก่อนเรเนสซองส์ และต่อมาก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

อูโกเริ่มวางแผนการเขียนนวนิยายเรื่องเอกของเขา คือ เหยื่ออธรรม ให้มีเนื้อหาสะท้อนความทุกข์ยากและความอยุติธรรมในสังคมตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1830 และใช้เวลายาวนานกว่า 17 ปีเพื่อเขียนขึ้นมาจนสำเร็จและได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1862[4] ความพิถีพิถันในคุณภาพของนวนิยายทำให้หนังสือเป็นที่ต้องการและมีการประมูลแย่งชิงกันมาก สำนักพิมพ์ในเบลเยียมแห่งหนึ่งคือ Lacroix and Verboeckhoven ถึงกับจัดแคมเปญพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน มีการออกหนังสือข่าวเกี่ยวกับผลงานชิ้นนี้เป็นเวลา 6 เดือนเต็มก่อนกำหนดวางแผง ทั้งยังมีการตีพิมพ์เพียงแค่ครึ่งแรกของนิยาย ("Fantine") ออกวางจำหน่ายในเมืองใหญ่พร้อม ๆ กัน หนังสือที่พิมพ์แต่ละคราวจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมฝรั่งเศส[5] มีการวิพากษ์วิจารณ์นิยายเรื่องนี้อย่างรุนแรง เช่น Taine กล่าวว่าเป็นเรื่องที่เสแสร้งไม่จริงใจ Barbey d'Aurevilly วิจารณ์ว่าใช้ภาษาหยาบคายสามหาว พี่น้อง Goncourts เปรียบว่าเป็นของเทียม และ Baudelaire ผู้เขียนแนะนำนิยายเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์ก็ยังวิจารณ์ว่าโดยส่วนตัวแล้วเขาเห็นว่ามัน "ไร้รสนิยมและไม่ได้เรื่อง" ถึงกระนั้น เหยื่ออธรรม ก็พิสูจน์ความนิยมในตัวเองได้ด้วยปริมาณการขายอย่างมากมายและยังกลายเป็นวาระสำคัญในการประชุม French National Assembly ในเวลาต่อมา นิยายเรื่องนี้ยังคงเป็นที่นิยมตราบจนถึงปัจจุบัน และได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และละครเวทีอย่างบ่อยครั้งยิ่งกว่านวนิยายเรื่องอื่นในแนวนี้ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนน้อยนิด[4]

ภาพวาดประกอบ เหยื่ออธรรม ฉบับดั้งเดิม วาดโดยเอมีล บายาร์ (ค.ศ. 1862)

การติดต่อโต้ตอบระหว่างอูโกกับสำนักพิมพ์ของเขา Hurst & Blackett เมื่อ ค.ศ. 1862 จัดเป็นการโต้ตอบที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ กล่าวกันว่าในเวลาที่ เหยื่ออธรรม (ซึ่งเป็นหนังสือหนากว่า 1200 หน้า) วางแผงนั้น อูโกอยู่ระหว่างเดินทางพักผ่อน เขาส่งโทรเลขไปถึงสำนักพิมพ์ว่า "?" ซึ่งสำนักพิมพ์ส่งตอบมาว่า "!"[1]

นวนิยายเรื่องต่อมาของอูโก คือ Les Travailleurs de la Mer (ผู้ตรากตรำแห่งท้องทะเล) ซึ่งเขาหันเหแนวทางไปจากแนวสังคม-การเมือง นิยายตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1866 และได้รับการต้อนรับอย่างดี ซึ่งอาจเป็นผลจากความสำเร็จอย่างสูงของ เหยื่ออธรรม ก็ได้ อูโกเขียนเรื่องนี้เพื่ออุทิศแด่เกาะแห่งเกิร์นซีย์ซึ่งเขาได้ไปลี้ภัยอยู่นานถึง 15 ปี เขาพรรณนาถึงสงครามระหว่างชายคนหนึ่งกับทะเลและสิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวจากมหาสมุทรห้วงลึก คือ ปลาหมึก ซึ่งทำให้เกิดกระแสคลั่งไคล้ปลาหมึกไปทั่วนครปารีส นับแต่อาหาร งานนิทรรศการ ไปจนถึงหมวกปลาหมึกและงานสังสรรค์ คำที่ชาวเกิร์นซีย์ใช้เรียกปลาหมึก (pieuvre; ซึ่งบางครั้งก็หมายถึงปลาหมึกยักษ์) ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาษาฝรั่งเศสอันเป็นผลจากคำที่ใช้ในนิยายเรื่องนี้ อูโกหวนกลับมาเขียนงานเกี่ยวกับการเมืองและสังคมอีกครั้งในนวนิยายเรื่องถัดไปคือ L'Homme Qui Rit (คนที่หัวเราะ) ซึ่งได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1869 และได้สร้างภาพอันล่อแหลมเกี่ยวกับคนชั้นสูงในสังคม แต่นิยายเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จมากนักเทียบกับเรื่องก่อน ๆ อูโกเริ่มพิจารณาตัวเองว่าห่างชั้นกับนักเขียนร่วมสมัยคนอื่น ๆ เช่นโฟลแบร์ (Flaubert) และซอลา (Zola) ซึ่งมีงานเขียนที่กำลังเป็นที่นิยม นวนิยายเรื่องสุดท้ายของเขาคือ Quatrevingt-treize (เก้าสิบสาม) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1874 เขาเขียนเรื่องที่ก่อนหน้านี้เคยหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด คือยุคสมัยแห่งความหวาดหวั่นระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส แม้ว่าในเวลาที่ตีพิมพ์นั้นชื่อเสียงของอูโกเริ่มลดน้อยลงแล้ว แต่ในปัจจุบันก็ยอมรับกันว่า เก้าสิบสาม เป็นหนึ่งในผลงานของอูโกที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด

งานการเมืองและช่วงลี้ภัย

หลังจากพยายามอยู่ 3 ครั้ง อูโกก็ได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิกของบัณฑิตยสถานฝรั่งเศส (Académie française) ในปี ค.ศ. 1841[4] ซึ่งทำให้สถานะของเขาในแวดวงศิลปกรรมและวรรณกรรมมั่นคงขึ้น นักวิชาการชาวฝรั่งเศสจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอเตียน เดอ ฌูย ผู้ต่อต้านการปฏิวัติยุคโรแมนติก พยายามหน่วงเหนี่ยวให้การรับเลือกของอูโกเป็นไปอย่างล่าช้า[6] หลังจากนั้นอูโกก็มีบทบาททางการเมืองในฝรั่งเศสสูงขึ้น โดยเป็นผู้สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของสาธารณรัฐ เขาได้รับโปรดเกล้าฯ จากพระเจ้าหลุยส์-ฟีลิป เลื่อนให้เป็นขุนนางชั้นสูงในปี ค.ศ. 1841 และได้เข้าสู่สภาสูงในตำแหน่ง pair de France เขาเคลื่อนไหวต่อต้านการลงโทษประหารชีวิตรวมถึงความไม่ยุติธรรมต่าง ๆ ในสังคม โดยชื่นชมยกย่องเสรีภาพของสื่อและการจัดตั้งรัฐบาลของตนเองในโปแลนด์ ในเวลาต่อมาเขาได้รับเลือกเข้าสู่สภานิติบัญญัติ (Legislative Assembly) และสภารัฐธรรมนูญ (Constitutional Assembly) หลังจากนั้นจึงเป็นการปฏิวัติ ค.ศ. 1848 และการก่อตั้งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2

วิกตอร์ อูโก ขณะลี้ภัยในเจอร์ซีย์ (ค.ศ. 1853-55)

เมื่อหลุยส์ นโปเลียน (จักรพรรดินโปเลียนที่ 3) รวบอำนาจเบ็ดเสร็จในปี ค.ศ. 1851 และจัดตั้งรัฐธรรมนูญที่ต่อต้านรัฐสภาขึ้น อูโกก็ประกาศตัวเองเป็นกบฏต่อประเทศฝรั่งเศส เขาย้ายไปยังบรัสเซลส์ และต่อมาย้ายไปยังเจอร์ซีย์ จนที่สุดจึงมาตั้งถิ่นฐานกันครอบครัวของเขาที่เกาะแชนแนลที่เกิร์นซีย์ เขาลี้ภัยอยู่ที่นี่จนถึง ค.ศ. 1870

ในขณะลี้ภัย อูโกได้เผยแพร่ผลงานการเมืองที่มีชื่อเสียงหลายชิ้นที่ต่อต้านจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เช่น Napoléon le Petit และ Histoire d'un crime[4] หนังสือเหล่านี้ถูกแบนในฝรั่งเศส แต่กระนั้นก็ส่งผลกระทบต่อฝรั่งเศสอย่างมาก อูโกยังเผยแพร่งานเขียนอันมีชื่อเสียงอื่น ๆ ของเขาในระหว่างพำนักอยู่ที่เกิร์นซีย์ รวมถึง เหยื่ออธรรม ด้วย ในจำนวนนี้รวมถึงงานกวีนิพนธ์ที่ได้รับการยกย่องอย่างมาก 3 ชุด คือ Les Châtiments ในปี 1853; Les Contemplations ในปี 1856; และ La Légende des siècles ในปี 1859

เขาได้เกลี้ยกล่อมคณะรัฐบาลของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียให้ไว้ชีวิตนักโทษชาวไอริช 6 คนที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดฐานก่อการร้าย ผลงานครั้งนี้ได้รับยกย่องในการยกเว้นโทษประหารชีวิตจากรัฐธรรมนูญของเจนีวา โปรตุเกส และโคลอมเบีย[7]

ปี ค.ศ. 1859 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ได้พระราชทานอภัยโทษแก่นักโทษการเมืองลี้ภัยทั้งหมด แต่อูโกปฏิเสธการอภัยโทษ เพราะนั่นจะทำให้เขาไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อีก จนกระทั่งจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 สิ้นอำนาจและสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 จัดตั้งขึ้นแล้ว อูโกจึงได้หวนคืนแผ่นดินเกิดในปี ค.ศ. 1870 เขาได้รับเลือกตั้งสู่สภาแห่งชาติ (National Assembly) และวุฒิสภาในเวลาต่อมา[4]

อูโกพำนักอยู่ในปารีสด้วยระหว่างที่กองทัพปรัสเซียบุกเข้ายึดเมืองในปี ค.ศ. 1870 สวนสัตว์ในกรุงปารีสส่งเนื้อสัตว์ที่รับประทานได้มาให้เขา ในระหว่างที่การบุกยึดยังดำเนินอยู่และอาหารก็หายากขึ้นทุกที อูโกบันทึกไว้ในสมุดประจำวันของเขาว่า เขาต้องลดการ "กินอะไรที่ไม่รู้จัก" ลง

อูโกให้ความสนใจเกี่ยวกับสิทธิของศิลปินและลิขสิทธิ์ เขาเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง Association Littéraire et Artistique Internationale[4] ซึ่งต่อมานำไปสู่อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการปกป้องสิทธิในงานวรรณกรรมและงานศิลปะ

ช่วงปลายของชีวิต

หลุมฝังศพของวิกตอร์ อูโก และเอมีล ซอลา

เมื่ออูโกเดินทางกลับมาปารีสในปี ค.ศ. 1870 เขาได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นวีรบุรุษของชาติ แต่ทั้งที่มีชื่อเสียงขนาดนั้นเขาก็ยังแพ้การเลือกตั้งเข้าสู่ National Assembly ในปี ค.ศ. 1872 ต่อมาไม่นานเขาต้องประสบความทุกข์สาหัสเมื่อบุตรสาวของเขา อาแดล ต้องถูกกักตัวไว้ในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการวิกลจริต ตามด้วยการเสียชีวิตของบุตรชาย 2 คน (ส่วนบุตรสาวอีกคนหนึ่งคือ ลีโอโปลดีน จมน้ำจากอุบัติเหตุเรือล่มเมื่อปี ค.ศ. 1843 ภริยาของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1868 ส่วนคนรักผู้ซื่อสัตย์ของเขาคือ จูเลียตต์ ดรูเอต์ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1883 ก่อนตัวเขาเองสองปี) แม้ว่าเขาจะต้องประสบความสูญเสียมากมายในชีวิตส่วนตัว แต่อูโกก็ยังยึดมั่นในงานการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง ปี ค.ศ. 1876 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่[8] บทบาทสุดท้ายในงานการเมืองของเขาค่อนข้างจะล้มเหลว อูโกกลายเป็นเฒ่าจอมดื้อและทำอะไรในวุฒิสภาไม่ได้มากนัก

เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1881 อูโกมีอายุครบ 79 ปี มีการจัดงานวันเกิดให้เขาซึ่งนับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งที่เคยจัดให้แก่นักเขียนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่[9] งานเฉลิมฉลองเริ่มต้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เขาได้รับมอบแจกันจากแซฟวร์ (Sèvres) ซึ่งเป็นของขวัญตามประเพณีที่จะมอบให้แก่ผู้ทรงเกียรติ วันที่ 27 กุมภาพันธ์มีขบวนพาเหรดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส หัวขบวนอยู่ที่ถนนแอโล (Avenue d'Eylau) และทอดตัวยาวไปตามถนนช็องเซลีเซจนถึงใจกลางเมืองปารีส ผู้ร่วมขบวนใช้เวลาเดินทั้งหมด 6 ชั่วโมงผ่านหน้าของอูโกซึ่งนั่งอยู่ที่หน้าต่างบ้านของเขา ทุก ๆ รายละเอียดจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อูโก แม้แต่ผู้นำขบวนพาเหรดอย่างเป็นทางการยังสวมชุดรวงข้าว เพื่อสื่อถึงบทเพลงของ Cosette ในเรื่อง เหยื่ออธรรม[9]

วิกตอร์ อูโก ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1885 รวมอายุได้ 83 ปี ยังความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวงต่อชนทั้งชาติ เขามิได้เป็นเพียงเสาหลักทางวรรณกรรมของฝรั่งเศส แต่ยังได้รับยกย่องจากนานาชาติในฐานะรัฐบุรุษผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 และนำประชาธิปไตยมาสู่ฝรั่งเศส ประชาชนกว่า 2 ล้านคนได้เข้าร่วมพิธีศพของเขาในกรุงปารีส[8] ตั้งแต่ประตูชัยไปจนถึงแพนธีออน อันเป็นสถานที่ฝังศพของเขา โดยใช้ที่ฝังศพร่วมกันกับ Alexandre Dumas และ Émile Zola

ใกล้เคียง

วิกตอร์ อูว์โก วิกตอร์ ลินเดอเลิฟ วิกตอเรียส์ซีเคร็ต วิกตอเรียส์ซีเคร็ตแฟชันโชว์ วิกตอเรีย ซ่ง วิกตอเรีย ยูจีนีแห่งบัทเทนแบร์ก สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน วิกตอเรียส์ซีเคร็ตแฟชั่นโชว์ 2018 วิกตอเรียพีก วิกทอเรีย เบคแคม วิกตอเรียส์ซีเคร็ตแฟชั่นโชว์ 2017

แหล่งที่มา

WikiPedia: วิกตอร์_อูโก http://www.artnet.com/Magazine/features/karlins/ka... http://www.barnesandnoble.com/writers/writerdetail... http://aol.bartleby.com/65/hu/Hugo-Vic.html http://www.britannica.com/EBchecked/topic/274974/V... http://www.festivalradiofrancemontpellier.com/2008... http://www.intratext.com/Catalogo/Autori/AUT187.HT... http://www.mishabittleston.com/artists/victor_hugo... http://napoleonic-literature.com/AgeOfNapoleon/E-T... http://www.nytimes.com/books/first/r/robb-hugo.htm... http://www.online-literature.com/victor_hugo/