ประวัติ ของ ศิลปะการอแล็งเฌียง

หลังจากที่ทำการก่อตั้งจักรวรรดิที่ใหญ่พอพอกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ในเวลานั้น และมีขนาดใหญ่พอกับจักรวรรดิโรมันตะวันตกเดิมแล้ว ราชสำนักการอแล็งเฌียงก็คงจะต้องมีความรู้สึกว่าตนเองยังมีความด้อยกว่าทางด้านศิลปะเมื่อเปรียบเทียบกับจักรวรรดิทั้งสอง หรือแม้แต่เมื่อเปรียบเทียบกับศิลปะยุคหลังยุคโบราณ (หรือที่นักประวัติศาสตร์เอิร์นส คิทซินเจอร์ เรียกว่า "sub-antique"[1]) ที่ยังคงสร้างกันอยู่บ้างในกรุงโรม และที่ศูนย์กลางบางแห่งในอิตาลีที่จักรพรรดิชาร์เลอมาญได้มีโอกาสทอดพระเนตรเห็นระหว่างที่ทำการรณรงค์ทางทหารอยู่ และเมื่อเสด็จไปทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหาจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในกรุงโรมในปีค.ศ. 800

ในฐานะที่ประมุขสัญลักษณ์ของโรมจักรพรรดิชาร์เลอมาญก็ทรงทำการฟื้นฟูวัฒนธรรมและการศึกษาของตะวันตก และทรงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างงานศิลปะที่สามารถสื่อเรื่องราวพร้อมแสดงรูปลักษณ์ของบุคคลในเรื่องอย่างมีประสิทธิภาพที่ศิลปะสมัยการโยกย้ายถิ่นฐานในยุโรปแบบเจอร์แมนิกไม่อาจจะทำได้[2] พระองค์มีพระประสงค์ที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่พระองค์เองในฐานะทายาทของประมุขผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต ผู้ที่เลียนแบบและแสดงสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อระหว่างความสำเร็จของวัฒนธรรมของคริสเตียนเริ่มแรกและไบแซนไทน์กับของพระองค์เอง

แต่การวิวัฒนาการของศิลปะมิใช่แต่เพียงเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมของโรมันโบราณเท่านั้น แต่ในรัชสมัยของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ ความขัดแย้งที่เกิดจากการทำลายรูปเคารพสมัยไบแซนไทน์เป็นกรณีที่สร้างความแตกแยกในจักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงสนับสนุนสถาบันคริสต์ศาสนาของตะวันตกที่ไม่อนุญาตให้มีการทำลายรูปเคารพ "กฎบัตรพระเจ้าชาร์ลส์" (Libri Carolini) วางนโยบายของราชสำนักซึ่งไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นไปตามพระราชประสงค์

หนังสือวิจิตรและงานแกะสลักงาช้างเป็นจำนวนพอสมควรจากสมัยการอแล็งเฌียงยังคงตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่งานศิลปะประเภทอื่นที่รวมทั้งงานโลหะ, งานโมเสก หรือ งานเขียนภาพบนผนังมีเพียงจำนวนไม่มากนัก หนังสือวิจิตรเป็นงานที่ก็อปปีหรือตีความหมายใหม่จากงานศิลปะโบราณหรือไบแซนไทน์ นอกไปจากอิทธิพลดังกล่าวแล้ว พลังอันมีชีวิตจิตใจของศิลปะเกาะก็ยังช่วยเพิ่มอรรถรสแก่งานศิลปะการอแล็งเฌียงอีกด้วย ที่บางครั้งก็จะเป็นการตกแต่งด้วยลายสอดประสาน และจะออกไปทางความเป็นอิสระของงานศิลปะเกาะที่ใช้การตกแต่งที่แผ่กว้างออกไป และบางครั้งก็จะเลยไปยังบทบรรยายที่เป็นตัวอักษรบนหน้าหนังสือด้วย

เมื่อการปกครองโดยการอแล็งเฌียงสิ้นสุดลงในราวปี ค.ศ. 900 การสร้างงานศิลปะที่มีคุณภาพสูงก็ลดน้อยลงไปเป็นเวลาราวสามชั่วคนในจักรวรรดิ เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ขบวนการปฏิรูปแอบบีคลูนี และการฟื้นฟูทางด้านจิตวิญญาณของจักรวรรดิทำให้การสร้างงานศิลปะรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ลักษณะของศิลปะยุคก่อนโรมาเนสก์เริ่มปรากฏขึ้นในเยอรมนีในศิลปะออตโทเนียนซึ่งเป็นราชวงศ์ต่อมา ในอังกฤษก็เป็นศิลปะแองโกล-แซกซันหลังจากการรุกรานของไวกิงสิ้นสุดลง และในสเปน