บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
ศิลปะอัศจรรย์ หรือ
อัศจรรย์ศิลป์ (
อังกฤษ: Fantastic art) คือประเภทของงานศิลปะ ขอบข่ายของศิลปะอัศจรรย์ได้รับการนิยามอย่างเคร่งครัดโดยนักวิชาการมาตั้งแต่สมัยของ
ชูลส์ แวร์นและ
เอช. จี. เวลส์ ก่อนหน้าและระหว่าง
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ก็ได้มีขบวนการศิลปิน
ไซ-ไฟ/
แฟนตาซีที่ครอบคลุมงานประเภทศิลปินภาพประกอบศิลปะและหนังสือคอมมิค บทเขียนรวมเกี่ยวกับงานศิลปะประเภทนี้เห็นได้ชัดในหนังสือ “Infinite Worlds: The Fantastic Visions of Science Fiction Art” โดยศิลปินอเมริกัน
วินเซนต์ ดิ เฟทโดยมีนักเขียนอเมริกัน
เรย์ แบรดเบอร์รีเป็นผู้เขียนบทนำศิลปะอัศจรรย์เดิมจำกัดอยู่เฉพาะแต่งานจิตรกรรมและ
ภาพประกอบ แต่ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาก็ขยายไปรวม
ภาพถ่าย ศิลปะอัศจรรย์มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับ
แฟนตาซี, แฟนตาซีเชิงวิทยาศาสตร์ (ประเภทย่อยของ
ไซ-ไฟที่เกี่ยวกับความลี้ลับของมนุษย์ต่างดาวและศาสนาของมนุษย์ต่างดาว), จินตนาการ, และภาวะกึ่งฝัน,
วิลักษณ์[1], มโนทัศน์อันเหนือจริง
[2] และรวมทั้งศิลปะเชิงกอธิค การที่ศิลปะอัศจรรย์มีที่มาจากประเภทของงานศิลปะแบบ
สัญลักษณ์นิยมของ
สมัยวิคตอเรียทำให้ครอบคลุมหัวข้อที่คล้ายคลึงกันที่รวมทั้ง
เทพวิทยา,
รหัสญาณ (Occultism) และ
รหัสยลัทธิ (mysticism), หรือ ตำนานและตำนานพื้นบ้าน และ จะแสวงหาคุณค่าของคุณสมบัติภายใน (ธรรมชาติของวิญญาณและจิตวิญญาณ)
แฟนตาซีเป็นส่วนสำคัญของการสร้างงานศิลปะมาตั้งแต่ก่อตัวขึ้น
[2] แต่มาเพิ่มความสำคัญยิ่งขึ้นอีกในการเขียนจิตรกรรม
แมนเนอริสม์,
สัจนิยมแนวมายา,
จินตนิยม,
สัญลักษณ์นิยม,
เหนือจริง,
สัญลักษณ์นิยม และ
ศิลปะใต้ดิน (Lowbrow) ฝรั่งเศสเรียกศิลปะในกลุ่มนี้ว่า “
ศิลปะแฟนทาสทีค” (Fantastique) ในภาษาอังกฤษบางครั้งก็จะเรียกว่า “ศิลปะมโนทัศน์” (Visionary art) หรือ “ศิลปะวิลักษณ์” (Grotesque art) หรือ “
ศิลปะแมนเนอริสม์” ศิลปะอัศจรรย์มีความสัมพันธ์อย่างเกี่ยวดองกับ
วรรณกรรมแฟนตาซี