ศิลปะยุคแรก ของ ศิลปะอินเดีย

ศิลปะบนหิน

The ธิดาร่ายรำ ประติมากรรมจากโมเหนโจดาโร"

ศิลปะบนหิน (Rock art) ในอินเดียนั้นมีทั้งการแกะสลักบนหิน และจิตรกรรมบนฝาผนังหิน มีการประมาณว่ามีแหล่งงานศิลปะบนหินในอินเดียกว่า 1300 แห่ง และประติมากรรมหรือหุ่นมากกว่า 2.5 ล้านชิ้น[1] งานแกะสลักหินเก่าแก่ที่สุดที่พบในอินเดียนั้นค้นพบโดย Archibald Carlleyle[2] ที่ซึ่งได้รับการนำเสนอโดย J Cockburn (1899) ในอีกหลายปีต่อมา[3]

ดร. V. S. Wakankar ค้นพบที่อยู่อาศัยหินที่มีงานจิตรกรรมจำนวนหนึ่งในแถบอินเดียกลาง ตั้งอยู่รายล้อมเทือกเขาวินธย หนึ่งในพื้นที่ที่มีชื่อเสียงมากคือที่อยู่อาศัยถ้ำภิมเพตกาซึ่งได้สมัครเข้าเป็นแหล่งมรดกโลก; จิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่พบนั้นอายุมากกว่า 10,000 ปี[4][5][6][7][8] ลักษณะต่าง ๆ นั้นมีความแตกต่างกันไปตามอายุ แต่มีลักษณะร่วมอยู่ประการหนึ่งคือการใช้สีล้างสีแดง (red wash) โดยใช้ผงแร่ geru ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของออกไซด์เหล็ก (เฮมาไทต์).[9]

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ป. 3300 ปีก่อน ค.ศ. –  1750 ปีก่อน ค.ศ.)

ดูบทความหลักที่: อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ศิลปะเมารยะ (ป. 322 ปีก่อน ค.ศ. –  185 ปีก่อน ค.ศ.)

ดูบทความหลักที่: ศิลปะเมารยะ

อาณาจักรเมารยะทางตอนเหนือของอินเดียนั้นเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ปี 322 ปีก่อนคริสต์กาล จนถึง 185 ปีก่อนคริสต์กาล อาณาจักรนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ[10] ดังที่พบเห็นอิทธิพลนี้ผสมผสานในหัวเสาปาฏลีบุตร (Pataliputra capital)

พระเจ้าอโศกมหาราช (สวรรคต 232 ปีก่อนคริสต์กาล) เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูศาสนาพุทธ และทรงดำริให้มีการสร้างสถูป ตามพื้นที่ที่มีความสำคัญในสมัยพระชนมชีพของพระโคตมพุทธเจ้า อย่างไรก็ตามงานประดับต่าง ๆ จากยุคเมารยะที่ยังหลงเหลือมาจนปัจจุบันนั้นมีน้อยมาก หรืออาจเป็นไปได้ว่าไม่ได้มีมามากตั้งตั้งแต่ต้นก็ได้

ในบรรดาชิ้นงานที่หลงเหลือน้อยนั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเสาอโศก[11] ส่วนหัวของเสาที่เรียกว่าหัวเสาอโศกรูปสิงห์ประดับด้วยสัตว์สี่ตัวนั้นในปัจจุบันใช้เป็นตราประจำชาติของประเทศอินเดีย นับตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราช[12] นอกจากนี้ทั้งศิลปะและสถาปัตยกรรมเมารยะมีลักษณะสำคัญอีกประการคือการขัดเงาแบบเมารยะบนชิ้นงานหินซึ่งพบได้น้อยมากในงานศิลปะของยุคหลัง ๆ

รูปปั้นยักษะขนาดใหญ่โต (200 ปีก่อน ค.ศ.)

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ศิลปะพุทธ (ป. 150 ปีก่อน ค.ศ. –  ค.ศ. 500)

ดูเพิ่มเติมที่: Greco-Buddhist art และ ศิลปะมถุรา

งานศิลปะพุทธจำนวนมากที่เหลือรอดมานั้นเริ่มมีในยุคหลังเมารยะล่มสลาย ที่ซึ่งมีประติมากรรมจำนวนมากที่เหลือรอดมาถึงปัจจุบัน พื้นที่ขุดค้นสำคัญเช่นสาญจี, ภารหุต และอมราวตี สถูปต่าง ๆ มีการประดับด้วยรั้วที่แกะสลักอย่างวิจิตรและมีซุ้มประตูโตรณะ ที่หันไปตามทิศหลักทั้งสี่ ในผนังหินต่าง ๆ ีการแกะสลักและตกแต่อย่างวิจิตร ส่วนมากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และพระพุทธรูปในลักษณะเป็นองค์ลอยก็เริ่มมีวิวัฒนาการใาจากงานแกะสลักนูนต่ำที่คว้ายเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคนี้[13] เมืองมถุรา เป็นศูนย์กลางสำคัญที่สุดของศิลปะรูปแบบนี้ ที่ซึ่งมีการประยุกต์ในศิลปะของฮินดูและไชนะไปตามกัน[14]

จักรวรรดิศุงคะ (185 ปีก่อน ค.ศ. – 72 ปีก่อน ค.ศ.)

ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิศุงคะ

หลังการล่มสลายของจักรวรรดิเมารยะ อินเดียได้แตกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ ที่มีการปกครองแบบเดิมในแต่ละภูมิภาค หนึ่งในแคว้นที่สำคัญที่สุดนั้นคือจักรวรรดิศุงคะ ในตอนกลางของประเทศอินเดีย เช่นเดียวกับจักรวรรดิสัตวาหนะ ทางตอนใต้ของอินเดียซึ่งเกิดขึ้นร่วมสมัยกัน ได้เริ่มมีการพัฒนาศิลปะพุทธยุคแรก ๆ ที่สำคัญมากเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสร้างสถูปเพื่อเก็บอัฐิของพระพุทธเจ้าหรือพุทธสาวกผู้เกี่ยวข้อง[15] ตัวอย่างสำคัญที่สุดของสถูปจากจักรวรรดิศุงคะนั้นคือมหาสถูปแห่งสาญจี ที่ซึ่งเชื่อว่าเริ่มแรกสร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งจักรวรรดิเมารยะ[16]

จักรวรรดิสาตวาหนะ (100-300 ปีก่อน ค.ศ. – ปี 300)

ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิสาตวาหนะ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

จักรวรรดิกุษาณะ (ปี 30 - 375)

ดูบทความหลักที่: ศิลปะกุษาณะ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

ศิลปะคุปตะ (ป. ปี 320 –  550)

ดูบทความหลักที่: ศิลปะคุปตะ

โดยทั่วไปแล้วมักนิยามว่ายุคคุปตะนั้นเป็นจุดสูงสุดของศิลปะอินเดียเหนือยุคคลาสสิก (classic peak of north Indian art) ในทุกกลุ่มศาสนาสำคัญ ถึงแม้จิตรกรรมจะแพร่หลาย ดังเช่นตัวอย่างที่พบในถ้ำอชันตา แต่ก็หลงเหลือมาถึงปัจจุบันไม่มาก ชิ้นงานที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันส่วนใหญ่ล้วนเป็นประติมากรรมทางศาสนา ศูนย์กลางสำคัญได้แก่ มถุรา สารนาถ และ คันธาระ นอกจากนี้ยังถือว่ายุคคุปตะเป็นยุคทองของศาสนาฮินดูยุคคลาสสิก (classical Hinduism)[17] และเริ่มมีหลักฐานของการสร้างสถาปัตยกรรมศาสนสถานของฮินดูเป็นครั้งแรก ๆ ถึงแม้จะมีหลงเหลืออยู่ไม่มากในปัจจุบันก็ตาม

พระพุทธรูปประทับนั่ง, ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์สารนาถ
พระพุทธรูปประทับนั่ง, ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์สารนาถ 
Mahishasuramardini, ทศาวาตารมนเทียร
พระกฤษณะเอชนะปีศาจม้า Keshi, ca. ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน
พระกฤษณะเอชนะปีศาจม้า Keshi, ca. ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน 
เสาเหล็กแห่งเดลี, ca. ศตวรรษที่ 3 – 4
เสาเหล็กแห่งเดลี, ca. ศตวรรษที่ 3 – 4 

แหล่งที่มา

WikiPedia: ศิลปะอินเดีย http://www.bradshawfoundation.com/india/pachmarhi/... http://www.india.gov.in/knowindia/national_symbols... //doi.org/10.1017%2FS0035869X00026113 http://libmma.contentdm.oclc.org/cdm/compoundobjec... http://libmma.contentdm.oclc.org/cdm/compoundobjec... http://libmma.contentdm.oclc.org/cdm/compoundobjec... //openlibrary.org/books/OL6213535M https://books.google.com/books?id=-jO0fvT4r9gC&pg=... https://books.google.com/books?id=-jO0fvT4r9gC&pg=... https://books.google.com/books?id=54XBlIF9LFgC&pg=...