สนธิสัญญาราพาลโล (
อังกฤษ: Treaty of Rapallo) เป็นข้อตกลงที่ลงนามเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1922 ระหว่าง
สาธารณรัฐไวมาร์และ
สหภาพโซเวียต ที่ซึ่งทั้งสองประเทศได้ยุติการอ้างสิทธิในดินแดนและข้อเรียกร้องทางการเงินจาก
สนธิสัญญาเบรฟ-ลิตอฟค์และ
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งต่อกันและกันรัฐบาลของทั้งสองประเทศยังได้ตกลงที่จะปรับความสัมพันธ์ทางการทูตให้เข้าสู่ระดับปกติและ "ให้ร่วมมือด้วยจิตวิญญาณแห่งความปรารถนาดีเพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจของกันและกัน"สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นผลพวงมาจาก
การประชุมเจนัวที่ทั้งเยอรมนีและสหภาพโซเวียตต่างก็เข้าร่วม ซึ่งฝรั่งเศสเรียกร้องให้สหภาพโซเวียตรับภาระหนี้สินที่ก่อไว้ในช่วงก่อนสงครามโดย
จักรวรรดิรัสเซีย และได้เรียกร้องให้เยอรมนีชำระค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่สหภาพโซเวียตโดยทันที ส่งผลให้คณะผู้แทนจากเยอรมนีและสหภาพโซเวียตถอนตัวออกมาจากการประชุมและพบปะกันอย่างเงียบ ๆ ที่เมืองราพาลโลในอิตาลี ทั้งนี้สนธิสัญญาดังกล่าวประกอบด้วยคณะผู้เจรจาจากสองฝ่ายนำโดยรัฐมนตรีต่างประเทศของ
รัสเซีย เกโอร์กี ชิเช-ริน และรัฐมนตรีต่างประเทศของ
เยอรมนี วัลเทอร์ ราทเนา และได้มีการแลกสัตยาบันแก่กันในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1923 ณ กรุง
เบอร์ลิน ต่อมาสนธิสัญญาดังกล่าวถูกลงนามจากทั้งสองฝ่ายในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1923 ณ โรงแรมอิมเปรีอาเล เมืองซันตามาร์เกอรีตาลีกูเร (ในราพาลโล) และถูกบันทึกในชุดสนธิสัญญาของ
สันนิบาตชาติ (League of Nations Treaty Series) ในวันเดียวกัน
[1] และแม้ว่าสนธิสัญญาดังกล่าวจะไม่ครอบคลุมถึงประเด็นความร่วมมือด้านทางทหาร แต่ทั้งสองฝ่ายก็ได้ริเริ่มความร่วมมือทางการทหารอย่างลับ ๆ ในเวลาต่อมา
[2]ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมระหว่างกันและลงนาม ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ณ กรุงเบอร์ลิน เพื่อขยายขอบเขตของสนธิสัญญาให้ครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมนีกับประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียตอันได้แก่
ยูเครน เบลารุส อาร์เมเนีย จอร์เจีย อาร์เซอร์ไบจาน และ
สาธารณรัฐตะวันออกไกล ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันในกรุงเบอร์ลินเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1923 และถูกบันทึกในชุดสนธิสัญญาของสันนิบาติชาติเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม ค.ศ. 1924อนึ่ง ข้อตกลงในสนธิสัญญานี้ยังถูกเน้นย้ำอีกครั้งใน
สนธิสัญญาเบอร์ลินปี ค.ศ. 1926 อีกด้วย