พระราชกรณียกิจ ของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ_พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

การศึกษา

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สนพระทัยในการพัฒนาสตรีและมีพระราชดำริว่าความรุ่งเรืองของบ้านเมืองย่อมอาศัยการศึกษาเล่าเรียนที่ดี ดังนั้นในปี พ.ศ. 2444 จึงทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงแห่งที่สองขึ้นในกรุงเทพมหานคร พระราชทานชื่อว่า “โรงเรียนสตรีบำรุงวิชา” และในปี พ.ศ. 2447 ทรงเปิดโรงเรียนสำหรับกุลธิดาของข้าราชสำนักและบุคคลชั้นสูงคือ “โรงเรียนสุนันทาลัย” ให้การอบรมด้านการบ้านการเรือน กิริยามารยาท และวิชาการต่าง ๆ อีกทั้งทรงจ่ายเงินเดือนครู และค่า ใช้สอยต่าง ๆ สำหรับเป็นค่าเล่าเรียนแก่กุลบุตรกุลธิดาของข้าราชการใหญ่น้อยและราษฎรอีก เป็นจำนวนมาก ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ตั้งโรงเรียน และจ่ายเงินเดือนครูในโรงเรียนต่าง ๆ [33] เช่น

อาคารโรงเรียนราชินีบูรณะในอดีต

ศาสนา

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภิกาในบวรพุทธศาสนา โดยบำเพ็ญพระราชกุศลมิได้ขาดทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างเจดีย์วัตถุ พระพุทธรูป พระธรรมคัมภีร์ เช่น พระไตรปิฎกสยามรัฐในรัชกาลที่ห้า ทรงสร้างพระวิหารสมเด็จที่วัดเบญจมบพิตร และปฏิสังขรณ์พระอารามต่าง ๆ ทั้งในพระนครและหัวเมืองต่าง ๆ [26] แม้พระพุทธเจดียฐาน นอกพระราชอาณาจักรก็ได้ทรงปฏิสังขรณ์ด้วยกัน

โดยนอกจากการบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นพิเศษตามพระราชจารีตประเพณีที่จัดขึ้น อาทิ วันประสูติ พระราชพิธีโสกัณฑ์ และ วันสำคัญอื่น ๆ แล้ว ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ถวายเป็นกิจวัตรแด่พระภิกษุสงฆ์และสามเณร พร้อมทั้งพระราชทานค่าน้ำประปา ค่าชำระปัดกวาด รักษาพระอาราม และการทำนุบำรุงซ่อมแซม ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด[23]

การเสด็จประพาสทั้งภายในและต่างประเทศ

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มักตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองชนบทในพระราชอาณาจักรเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรในชนบท และเสด็จประพาสต่างประเทศเสมอ ๆ [34] ซึ่ง บางคราวต้องเสด็จพระราชดำเนินรอนแรมไปในถิ่นทุรกันดาร การคมนาคมไม่สะดวกเช่นในปัจจุบัน โดยต้องเสด็จผ่านบ้านป่า บางคราว ต้องทรงช้าง ทรงม้าหรือประทับเกวียนเป็น พระราชพาหนะ ซึ่งพระองค์มิได้ทรงหวาดหวั่น[35] ตามเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินดังกล่าวนั้น ประชาราษฎรจะมาเฝ้ารับเสด็จ และเมื่อพระองค์ทรงพบเห็นก็พระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับราษฎร ตลอดจนที่แห่งใดที่ถนนหนทาง สะพานหรือที่สาธารณะอื่น ๆ ชำรุดทรุดโทรม ก็ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์ทะนุบำรุงซ่อมสร้างให้ดีขึ้น ส่วนตำบลใดขาดน้ำบริโภคใช้สอย ก็โปรดเกล้าฯ ให้ขุดบ่อน้ำสาธารณะ และปีใดที่มีอากาศหนาวก็พระราชทานผ้าห่มกันหนาว รวมทั้งตำบลใดที่ขาดแคลนหมอและยารักษาโรคก็จะโปรดเกล้าพระราชทานพระราชทรัพย์ ให้ข้าราชบริพารจัดซื้อมาแจกจ่าย

ในการเสด็จประพาสนอกพระราชอาณาจักรนั้น พระองค์ก็ทรงตามเสด็จด้วยในบางครั้ง เช่น การเสด็จประพาสเมืองสิงค์โปร์ ชวา และมลายู [36]

การแพทย์และพยาบาล

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีความห่วงใยความเจ็บไข้ได้ป่วยของราษฎรและทหารเป็นอย่างยิ่ง โดยทรงสนับสนุนการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ตั้งโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ขึ้นในโรงพยาบาลแห่งนี้สำหรับเป็นสถานศึกษาวิชาพยาบาลและผดุงครรภ์ของสตรี ทั้งยังทรงจ่ายเงินเดือนแพทย์ มิชชั่นนารี ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย ตลอดจนค่าอาหารของนักเรียน และพระราชทานเงินให้แก่หญิงอนาถา[37] ที่มาคลอดบุตรในโรงพยาบาลศิริราชเพื่อเป็นค่าใช้สอยทุกคน

พระองค์ทรงเป็นผู้นำชักชวนสตรีไทย ให้เลิกการคลอดบุตรในลักษณะที่ต้องอยู่ไฟมาใช้วิธีการพยาบาลแบบสากล ที่สุขสบายและได้ผลดีกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังมีพระราชดำริจัดตั้งสภาอุณาโลมแดงและได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างขึ้นใน พ.ศ. 2436 เพื่อเป็นศูนย์กลางบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ซึ่งต่อมาภายหลังที่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศฝรั่งเศส เรื่องเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อ พ.ศ. 2436 อันนำมาซึ่งการบาดเจ็บให้กับทหารและราษฎรจำนวนมาก สภาอุณาโลมแดง ได้เป็นศูนย์กลางในการบรรเทาทุกข์ลงอย่างมาก หลังจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว สภาอุณาโลมแดง จึงใช้ชื่อว่า สภากาชาดสยาม ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทยในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรแรกในประเทศไทย[38] ทั้งนี้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) เป็นสภาชนนี และพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกา ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำรงตำแหน่งองค์สภานายิกาสืบต่อมารวมเวลาถึง 26 ปี[39] อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แก่โรงพยาบาลหลายแห่งทั้งใน กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด

การทหาร

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โปรดการขี่ม้าและโปรดการทหาร โดยมักจะเสด็จไปทอดพระเนตรการซ้อมรบหรือที่เรียกว่า “การประลองยุทธ” ในต่างจังหวัดเกือบทุกปี บางครั้งประทับร่วมเสวยพระกระยาหาร ในเต้นท์ผู้บัญชาการรบท่ามกลางแม่ทัพนายกอง และเคยมีพระราชดำรัสในเวลาการชุมพลทหารครั้งใหญ่ ตอนหนึ่งว่า “ถึงแม้ฉันเป็นหญิงก็จริง แต่ก็มีใจเหมือนท่านทั้งหลายซึ่งเต็มไปด้วยความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ในเวลาหนึ่งเวลาใดก็ดี ฉันตั้งใจที่จะ ช่วยเหลือผู้เป็นนักรบอยู่เสมอไม่ถอยเลย”[40] พระองค์มีพระราชหฤทัยห่วงใยในความทุกข์สุขของทหาร โดยพระราชทานเครื่องอุปโภค บริโภคแก่เหล่าทหาร หรือเมื่อทหารประสบอุปัทวเหตุ เจ็บป่วย ก็จะทรงส่งแพทย์หลวงไปรักษา[41]

ในปี พ.ศ. 2454 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟ สายกรุงเทพมหานครถึงจังหวัดนครราชสีมา และได้เข้าไปในค่ายทหาร ทรงเปิดสโมสรนายทหาร และพระราชทานนามว่า "สโมสรร่วมเริงไชย"[42] และทอดพระเนตรการแสดง ของหน่วยทหารต่าง ๆ ในค่ายบริเวณหนองบัว โดยกรมทหารม้าที่ 5 ได้ทำการแสดงบนหลังม้า และทำการแปรขบวน กองร้อย ทหารม้าทั้งกองร้อย โดยได้ควบม้าฮ่อเข้ามาหยุดแสดง ความเคารพต่อหน้าที่ประทับ เป็นที่พอพระราชหฤทัย ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทูลขอ หน่วยทหารม้าหน่วยนี้ เป็นหน่วยรักษาพระองค์ แต่พระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมิได้พระราชทาน เนื่องจากยังไม่เคยมีในพระราชประเพณีมาก่อน ครั้นต่อมา ในปีพ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ถวายตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษกรมทหารม้าที่ 5 (ปัจจุบัน ได้แปรสภาพหน่วยเป็น กองพันทหารม้าที่ 6) แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ตามคำสั่งกลาโหม ที่ 373/26471 ลงวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2545 เรื่อง ถวายตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ[43] ความว่า

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณารับตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 10 กรมทหารราบที่ 7 กรมทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 9 ถวายตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารม้าที่ 5 แด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระราชทานตำแหน่งผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารม้าที่ 2 แด่สมเด็จพระนางเจ้าน้องนางเจ้าฟ้ากรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินทร ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่กรมนั้นและกองพลซึ่งกรมนั้นสังกัดอยู่ เพราะฉะนั้นให้เจ้าหน้าที่จ่าย อักษรพระนามาภิไธยย่อ ว.ป.ร. ให้แก่ทหารในกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 10 กรมทหารราบที่ 7 กรมทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 9 ติดบ่ายศตามระเบียบ"

อนึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมทหารม้าที่ 5 ติดพระนามาภิไธยย่อ ส.ผ. ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี เพราะฉะนั้นให้เจ้าหน้าที่จัดทำและจ่ายให้ กรมทหารม้าที่ 5 จึงได้รับโปรดเกล้าให้ติดอักษรพระนามาภิไธยย่อ ส.ผ. ซึ่งเป็นอักษรย่อขององค์สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี กลางอินทรธนูทั้งสองข้าง (ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนมาประดับที่หน้าอกเบื้องขวาในปัจจุบัน) และในปี พ.ศ. 2456 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระยศนายพันเอก[44] และได้พระราชทานเงินจำนวน 44,000 บาท เพื่อสร้างโรงม้าขึ้น ในกรมทหารม้าที่ 5 ต่อมากระทรวงกลาโหม ได้ส่งนายดาบจัน เลิศพยาบาล ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ ที่สำเร็จการศึกษาจากยุโรปมาประจำหมวดสัตวแพทย์ จึงนับว่าได้เริ่มมีการใช้ยารักษาม้าแบบแผนปัจจุบันเป็นครั้งแรก[45]

การเกษตร

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงดำนาที่ทุ่งพญาไท

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงสนพระทัยและโปรดด้านการเกษตร[23] โปรดให้เลี้ยงไก่พันธุ์ ธัญพืช ไม้ดอก ไม้ประดับในบริเวณที่ประทับ

และสำหรับการปลูกข้าวนั้น พระองค์โปรดเป็นพิเศษ ถึงกับทรงทำด้วยพระองค์เองที่นาหลวงทุ่งพญาไท[26] ซึ่งพระองค์มักจะนำพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปทรงดำนาเพื่อเป็นการประเดิมชัยในฤดูการทำนา

ความสนพระทัยของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่เกี่ยวกับการทำนา คือในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงสนพระทัยในเรื่องการทำนา ได้ทรงทำนาที่ทุ่งพญาไทซึ่งจัดเป็นนาหลวง มีเรื่องปรากฏในพระราชหัตถเลขาในรัชกาลที่ 5 ที่พระราชทานเจ้าดารารัศมี ในตอนหนึ่งมีความว่า "กำลังคิดทำนาที่ปลายถนนซังฮี้ในทุ่ง ได้ลงมือซื้อควายเสร็จแล้ว"[46]

และในฉบับลงวันที่ 11 สิงหาคม ร.ศ. 128 มีความว่า "บางกอกเวลานี้ฝนชุกเกือบจะไม่เว้นวัน เรื่องสนุกของชาววังนั้นคือ กำลังคลั่งทำนา ตั้งแต่แม่เล็ก เป็นต้นลงดำเอง เลี้ยงดูกันเป็นหลายวัน ข้อที่เกลียดโคลนเลนนั้นหายหมด ทำได้คล่องแคล่ว ที่โรงนาเป็นที่สบาย องค์อัจฉรและนางชุ่มผลัดกันไปอยู่ที่นั้น พื้นสบายดีขึ้นที่งสองคน องค์อัจฉรถึงเดินได้ไกล ๆ เจ้านายที่เจ็บไข้ออดแอดต่างคนต่างสบายขึ้น เห็นจะเป็นด้วยได้เดินได้ยืนมากนั้นเอง"[47] (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเรียกสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงว่า "แม่เล็ก") [9]

ด้านสาธารณประโยชน์

พระนางธรณีบีบมวยผมที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงโปรดให้สร้างขึ้น

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้มีพระราชดำริทรงสร้างสะพานเสาวนีย์ ซึ่งเป็นสะพานข้ามคลองริมทางรถไฟสายเหนือเชื่อมถนนศรีอยุธยาให้ติดต่อกันตลอด เมื่อคราวเฉลิมพระชนมพรรษา 48 พรรษา พ.ศ. 2454 กรมโยธาธิการได้ออกแบบและสร้างถวายตามพระราชเสาวนีย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2460 พระองค์ได้บริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้สร้างรูปพระนางธรณีบีบมวยผม ประทานให้เป็นสาธารณสมบัติให้ประชาชนได้ใช้น้ำสะอาดบริโภค โดยน้ำจะไหลจากมวยผมพระแม่ธรณี ลงหม้อน้ำขนาดใหญ่ ปัจจุบันพระแม่ธรณีบีบม้วยผม นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของประชาชน ซึ่งรูปพระนางธรณีบีบมวยผมนี้ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนใกล้สะพานผ่านพิภพลีลากับที่โรงพยาบาลปัญจมาธิราชอุทิศ ที่พระนครศรีอยุธยา และบ่อน้ำที่หัวหิน[6]

ในปี พ.ศ. 2445 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเปิดทางรถไฟ สายกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา

ใกล้เคียง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

แหล่งที่มา

WikiPedia: สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ_พระบรมราชชนนีพันปีหลวง http://www.baanmaha.com/community/thread19145.html http://www.cavalry1006.com/hermajesty/ http://www.cavalry6.com/sripatcharin/sripatcharin1... http://www.cavalry6.com/sripatcharin/sripatcharin2... http://www.hatthakamclub.com/sawapa.php http://www.thaimedals.com/web/6a_2456.php http://www.web2wch.info/cool_wch/index.php?option=... http://www.rachineeburana.net/main/index.php/histo... http://swbvc.serveftp.net/index.php?option=com_con... http://www2.crma.ac.th/coin/index23.htm