พระราชประวัติ ของ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี

ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา

สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า นาค เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2280 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นพระธิดาของพระชนกทอง ณ บางช้าง และสมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี (พระนามเดิม สั้น หรือมาก) เป็นคหบดีเชื้อสายมอญ[2]ทั้งสองเป็นญาติใกล้ชิดกัน

สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีพระภราดาพระภคินีร่วมพระชนกพระชนนีทั้งสิ้น 10 คน โดยทุกคนล้วนได้รับพระราชทานยศเป็น "เจ้าคุณ"[3] ได้แก่

  1. เจ้าคุณหญิงแวน (บางแห่งว่าแว่น[4])
  2. เจ้าคุณหญิงทองอยู่ (เรียกกันว่าเจ้าคุณผู้ใหญ่) สมรสกับขุนทอง ราชินิกุลบางช้าง มีบุตร 2 คน คือ
    1. เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (สังข์)
    2. เจ้าจอมหงส์ ในรัชกาลที่ 1
  3. เจ้าคุณชายชูโต เป็นต้นราชินิกุลชูโต สมรสกับคุณทองดี มีบุตร 1 คน คือ
    1. คุณหญิงม่วง สมรสกับพระยาสมบัติบาล (เสือ) มีบุตร 6 คน คือ
      1. ท่านผู้หญิงน้อย สมรสกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัด บุนนาค)
      2. คุณหญิงเพ็ง ชูโต
      3. เจ้าพระยาพลเทพ (เอี่ยม ชูโต)
      4. คุณหญิงหว้า ชูโต
      5. เจ้าพระยาสุรเสนา (สวัสดิ์ ชูโต)
      6. พระยาสมบัติยาธิบาล (นาค ชูโต)
  4. สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี อภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
  5. เจ้าคุณชายแตง
  6. เจ้าคุณหญิงชีโพ มีบุตรคนเดียว คือ
    1. หงส์ (ถูกชาวพม่าจับไปเป็นเชลย)[4]
  7. เจ้าคุณชายพู
  8. เจ้าคุณหญิงเสม
  9. เจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล (เรียกกันว่าเจ้าคุณโต) สมรสกับเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) เป็นต้นราชินิกุลบุนนาค
  10. เจ้าคุณหญิงแก้ว สมรสกับพระยาสมุทรสงคราม (ศร) เป็นต้นลราชินิกุล ณ บางช้าง

ร่วมพระชนกต่างพระชนนี คือ เจ้าจอมมารดามา สมรสกับสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก

พระราชนิพนธ์ "ปฐมวงศ์" ระบุว่า คุณนาคมีสิริโฉมงดงามเป็นที่ร่ำลือ เมื่อข้าหลวงสอดแนมของสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์กราบบังคมทูลทรงทราบ จึงรับสั่งให้กรมมหาดไทยออกท้องตราสู่ขอมาเป็นนางใน แต่พระชนกพระชนนีและพระประยูรญาติไม่สมัครใจ จึงขอให้สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกซึ่งขณะนั้นดูแลการออกท้องตราในกรมมหาดไทยช่วยป้องกันแก้ไข สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกจึงขอให้ข้าหลวงช่วยกราบบังคมทูลว่าตนได้สู่ขอนาคให้บุตรชายที่สี่ซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ได้นัดหมายวันวิวาห์แล้ว เมื่อทรงทราบก็พระราชทานพระอนุญาต หลวงยกกระบัตรจึงได้คุณนาคมาเป็นภริยาในครั้งนั้น[5]

หลังเสียกรุงศรีอยุธยาและในสมัยกรุงธนบุรี

สมเด็จพระบรมราชินีแห่ง
ราชวงศ์จักรี
สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี
สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา

เมื่อพ.ศ. 2310 พม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก หลวงยกกระบัตรจึงตัดสินใจอพยพครอบครัวเข้าไปอยู่ในป่าลึก ในระหว่างนี้แก้ว (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์) พี่สาวของหลวงยกกระบัตรได้ให้กำเนิดธิดานามว่าบุญรอด (ต่อมาคือสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี) ครั้นพระยาวชิรปราการ (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) ได้รวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปหมดแล้ว ได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ หลวงยกกระบัตรจึงได้อพยพครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิม ในช่วงนี้เองนาคได้ให้กำเนิดบุตรคนที่สี่ชื่อฉิม (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) หลังจากนั้นหลวงยกกระบัตรกลับเข้ารับราชการอยู่กับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์ต่อมาจนเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในเวลาต่อมา

ในสมัยกรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้รับสตรีชาวเวียงจันทน์ชื่อแว่น (ต่อมาคือเจ้าจอมแว่น ในรัชกาลที่ 1) มาเป็นอนุภรรยา ท่านผู้หญิงไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงใช้ดุ้นแสมตีศีรษะนางแว่น เจ้าพระยาทราบก็โกรธมาก ทั้งสองจึงได้แยกกันอยู่นับแต่นั้น[6]

ในรัชกาลที่ 1

เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น ท่านผู้หญิงนาคก็ไม่เคยเข้ามาอาศัยอยู่ในพระบรมมหาราชวังเลย แต่อาศัยอยู่ที่พระราชวังเดิมกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร พระโอรส และจะมาเยี่ยมพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวังแต่เพียงครั้งคราวเท่านั้น ซึ่งจะออกจากวังก่อนประตูปิดทุกครั้งไป ทั้งนี้เธอไม่ยอมใช้ราชาศัพท์กับสามีหรือพระราชโอรสกับพระราชธิดาแต่อย่างใด แต่เรียกสามีว่าเจ้าคุณ เรียกพระราชโอรสว่า พ่อ และเรียกพระราชธิดาว่า แม่ โดยเธอยินดีที่จะใช้ภาษาสามัญ[7] ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็มิได้สถาปนาท่านผู้หญิงนาคขึ้นเป็นเจ้าแต่อย่างใด ดังใน "ธรรมเนียมราชตระกูลในกรุงสยาม" พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุว่า[8]

...ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธ​ยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เป็นท่านผู้หญิงเดิม มีพระราชโอรส พระราชธิดาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมใหญ่ ถึง ๔ พระองค์ ก็ไม่เห็นท่านยกย่องตั้งแต่งอย่างไร แต่คนทั้งปวงเข้าใจว่า ท่านเป็นพระมารดาของเจ้าฟ้า ก็นับถือว่าเป็นพระมเหสี...

สมเด็จพระพันปีหลวงในรัชกาลที่ 2

ถึงปีมะเมีย วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2353 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงเป็นสมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์[9] เทียบกับกรมพระเทพามาตย์ตามโบราณราชประเพณีเก่าตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา[10]

ในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 พระองค์ได้ทรงย้ายจากพระนิวาสสถานเดิมริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี เข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง

สวรรคต

สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2369 ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สิริพระชนมพรรษาได้ 89 พรรษา พระบรมศพประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท[11] พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระโกศทองใหญ่ทรงพระบรมศพ และโปรดให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ขึ้น ถึงวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2371 จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง แล้วนำพระบรมอัฐิไปประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ในพระบรมมหาราชวัง[12]

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระนามาภิไธยว่ากรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระนามาภิไธยใหม่เป็น สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี [13]

ใกล้เคียง

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก