บทนิยาม ของ สิทธิในสุขภาพ

ธรรมนูญขององค์การอนามัยโลก (ค.ศ. 1946)

ผู้คนที่สุขภาพดีและมีความสุข

คำปรารภ (preamble) แห่งธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกให้นิยามคำว่าสุขภาพอย่างกว้าง ๆ เป็น "สภาวะทางกาย จิต และสวัสดิภาพทางสังคมที่สมบูรณ์ มิใช่เพียงการไม่มีโรคและทุพพลภาพ"[1] ธรรมนูญให้นิยามคำว่าสิทธิในสุขภาพเป็น "การได้รับมาตรฐานสุขภาพที่ดีที่สุดที่เป็นได้" และระบุหลักการของสิทธินี้บางหลักการเช่นพัฒนาการของเด็กที่สุขภาพดี การเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์และประโยชน์ของมันอย่างยุติธรรม และมาตรการทางสังคมที่รัฐเป็นผู้จัดหาให้เพื่อรองรับสุขภาพที่เหมาะสม

แฟรงก์ พี. กราด ให้ความดีความชอบกับธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกว่า "กล่าวอ้าง ... สาธารณสุขระหว่างประเทศร่วมสมัยทั้งหมด"[lower-alpha 1] สถาปนาสิทธิในสุขภาพเป็น "สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่จะแยกออกจากบุคคลมิได้" ที่รัฐบาลไม่สามารถลดทอนได้แต่กลับกันจำเป็นต้องปกป้องและค้ำจุน[2] ธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกเป็นการกำหนดอย่างเป็นทางการไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งสิทธิในสุขภาพเป็นครั้งแรก

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ค.ศ. 1948)

นักกิจกรรมชาวโรมาเนียต่อแถวเป็นรูปตัวเลข "25" โดยใช้ร่ม ซึ่งหมายถึงข้อ 25 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ

ข้อ 25 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติกล่าวไว้ว่า "ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอต่อสุขภาพและสวัสดิการของตัวเองและของครอบครัวซึ่งรวมไปถึงอาหาร, เสื้อผ้า, ที่อยู่อาศัย และบริการทางแพทย์กับทางสังคมที่จำเป็น" ปฏิญญาสากลเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือพิการ และกล่าวถึงเป็นพิเศษเรื่องการให้การดูแลแก่ผู้ที่อยู่ในวัยเด็กและผู้ที่เป็นมารดา[3]

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นปฏิญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานฉบับแรก นาวี พิลเลย์ (Navi Pillay) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเขียนไว้ว่าปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน "แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องถือสิทธิมนุษยชนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสิทธิพลเรือน, การเมือง, เศรษฐกิจ, สังคม หรือวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่แยกส่วนไม่ได้และต่างเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้และต่างพึ่งพากันและกัน"[4] ในทำนองเดียวกัน กรัสกินและคณะกล่าวว่าธรรมชาติที่เกี่ยวพันกันของสิทธิต่าง ๆ ในปฏิญญาสากลนั้นสร้าง "ความรับผิดชอบที่ขยายไปมากกว่าเพียงแค่การจัดหาบริการทางสุขภาพที่จำเป็นแต่ยังรวมไปถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดสุขภาพเองเช่นการศึกษา, ที่อยู่อาศัย และอาหารที่เหมาะสม และสภาพการทำงานที่พึงปรารถนา" และกล่าวเพิ่มอีกว่าการจัดหาสิ่งเหล่านี้ "เป็นสิทธิมนุษยชนในตัวมันเองและมีความจำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดี"[5]

อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (ค.ศ. 1965)

สุขภาพถูกเขียนถึงอย่างสั้น ๆ ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (International Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination) ของสหประชาชาติซึ่งมีมติเห็นชอบในปี ค.ศ. 1965 และมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1969 อนุสัญญานี้เรียกร้องให้รัฐห้ามปรามและขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบและรับประกันสิทธิในความเสมอภาคทางกฎหมายของทุกคนโดยไม่แยกแยะระหว่างเชื้อชาติ, สีผิว, สัญชาติ หรือชาติพันธุ์ และภายใต้บทบัญญัตินี้ก็มีการอ้างอิงถึงสิทธิในสาธารณสุข, บริการทางแพทย์, หลักประกันสังคม และบริการสังคม[6]

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966)

ภาคีในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม:
  ลงนามแล้วและให้สัตยาบันแล้ว
  ลงนามแล้วแต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน
  ยังไม่ได้ลงนามและให้สัตยาบัน

สหประชาชาติให้นิยามสิทธิในสุขภาพในข้อ 12 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมปี ค.ศ. 1966 ไว้ว่า:[7]

ภาคีในกติกาฯ รับรองสิทธิของทุกคนที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เป็นได้ ขั้นตอนการดำเนินการโดยภาคีในกติกาฯ เพื่อบรรลุผลให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริงอย่างสมบูรณ์จะต้องรวมถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับ:

การลดอัตราตายคลอดและภาวะการตายของทารก และเพื่อพัฒนาการของเด็กอย่างสุขภาพดีการพัฒนาสุขลักษณะทางสิ่งแวดล้อมและที่ทำงานในทุกด้านการป้องกัน รักษา และควบคุมโรคระบาด โรคประจำถิ่น โรคเหตุอาชีพ และโรคอื่น ๆการสร้างสภาวะที่รับประกันบริการทางแพทย์และการดุแลรักษาทั้งหมดแก่ทุกคนในเหตุการณ์ที่มีความเจ็บป่วย

ข้อวินิจฉัยทั่วไป หมายเลข 14 (ค.ศ. 2000)

ในปี ค.ศ. 2000 คณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (CESCR) ได้แถลงข้อวินิจฉัยทั่วไปหมายเลข 14 ซึ่งกล่าวถึงประเด็นสำคัญอันเกิดขึ้นมาจากการนำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมไปปฏิบัติใช้ ตามข้อที่ 12 และ "สิทธิในมาตรฐานสุขภาพที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้"[8] ข้อวินิจฉัยทั่วไปใช้ภาษาเชิงปฏิบัติการที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่ออธิบายถึงเสรีภาพและสิทธิที่มีภายใต้สิทธิในสุขภาพ

ข้อวินิจฉัยทั่วไปอธิบายอย่างชัดเจนว่าสิทธิในสุขภาพไม่ได้หมายถึงสิทธิที่จะมีสุขภาพดี หากแต่เป็นชุดของเสรีภาพและสิทธิอันพึงมีที่จะอำนวยสภาวะทางชีวภาพและทางสังคมของบุคคลหนึ่งและรวมไปถึงทรัพยากรที่รัฐมี ซึ่งทั้งสองอาจขัดขวางสิทธิที่จะมีสุขภาพดีด้วยเหตุผลซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมและอิทธิพลของรัฐ ข้อที่ 12 ในกติกาฯ ให้รัฐมีหน้าที่รับรองว่าแต่ละบุคคลมีสิทธิในการเข้าถึงมาตรฐานสุขภาพที่สูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ และรายการไว้ซึ่ง 'เสรีภาพ' และ 'สิทธิ' (อย่างน้อยบางส่วน) อันพึ่งมีประกอบไปกับสิทธินั้น ๆ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้กล่าวให้รัฐรับประกันว่าทุกบุคคลจะมีสุขภาพที่ดี หรือว่าทุกบุคคลจะยอมรับอย่างเต็มเปี่ยมในสิทธิและโอกาสซึ่งถูกระบุไว้ในสิทธิในสุขภาพ

ความสัมพันธ์กับสิทธิอื่น ๆ

อย่างเช่นในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อวินิจฉัยทั่วไปอธิบายถึงธรรมชาติที่เกี่ยวพันกันของสิทธิมนุษยชนโดยกล่าวว่า "สิทธิในสุขภาพเกี่ยวข้องและพึ่งพากับการทำให้สิทธิมนุษยชนด้านอื่น ๆ เป็นจริงขึ้นมา" และดังนั้นเป็นการเน้นในความสำคัญของการพัฒนาด้านสิทธิอื่น ๆ ในทางคล้ายกันข้อวินิจฉัยทั่วไปรับรองว่า "สิทธิในสุขภาพครอบคลุมปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมที่หลากหลายซึ่งส่งเสริมสภาพที่ทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่สุขภาพดีได้ และขยายรวมไปถึงตัวกำหนดสุขภาพที่อยู่เบื้องหลัง" ในแง่นี้ ข้อวินิจฉัยทั่วไปกล่าวว่าขั้นตอนซึ่งถูกระบุไว้ในข้อที่ 12 ไม่ได้ถูกจำกัดไว้เท่านั้นและเป็นเพียงการให้ตัวอย่าง

ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้

ลิซา เมอร์คอฟสกี (Lisa Murkowski) ที่การประชุมนโยบายสุขภาพเสตทออฟรีฟอร์มอะแลสกาปี ค.ศ. 2019

ตาม โจนาธาน มันน์ (Jonathan Mann (WHO official)) สิทธิในสุขภาพกับสิทธิมนุษยชนเป็นแนวทางคู่กันสำหรับการกำหนดและพัฒนาสวัสดิภาพของมนุษย์ ในปี ค.ศ. 1994 มันน์และคณะได้ริเริ่ม "วารสารเฮลธ์แอนด์ฮิวแมนไรตส์" (Health and Human Rights) เพื่อเน้นความสำคัญของความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้

บทความซึ่งสำรวจการประสานงานกันระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนที่เป็นไปได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารนั้นฉบับแรก ในบทความนั้น มันน์และคณะบรรยายถึงโครงร่างสำหรับการเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองอขอบแขตซึ่งเชื่อมโยงกัน โครงร่างนี้ถูกแบบออกเป็นความสัมพันธ์สามส่วนใหญ่ ๆ

ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างแรกเป็นความสัมพันธ์ทางการเมือง มันน์และคณะกล่าวว่านโยบาย, โครงการ และการดำเนินการด้านสุขภาพมีผลกระทบกับสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเมื่ออำนาจของรัฐถูกพิจารณาในขอบเขตของสาธารณสุข

ส่วนที่สองคือความสัมพันธ์ผันกลับซึ่งกล่าวว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และมีการเรียกร้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพช่วยในการทำความเข้าใจผ่านการวัดและประเมินผลกระทบของการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสุขภาพและสวัสดิภาพ

ส่วนที่สามนำเสนอแนวคิดว่าการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสุขภาพมีความเกี่ยวข้องกันโดยพื้นฐานผ่านความสัมพันธ์เชิงพลวัต แม้วรรณกรรมส่วนใหญ่สนับสนุนการมีอยู่ของความสัมพันธ์สองอย่างแรก สมมติฐานของความสัมพันธ์ที่สามยังไม่ถูกสำรวจถึงอย่างมากพอ

บทความสนับสนุนแนวคิดนี้ด้วยการกล่าวว่าความสัมพันธ์เหล่านี้บอกเป็นนัยถึงผลกระทบเชิงปฏิบัติของปฏิสัมพันธ์ระหว่างและการดำเนินการที่เป็นอิสระจากกันของกิจกรรมทางสาธารสุขและสิทธิมนุษยชน จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่มีการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างขอบเขตทั้งสอง มันน์และคณะกล่าวเพิ่มว่างานวิจัย, การศึกษา, ประสบการณ์ และการสนับสนุนล้วนจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจส่วนร่วมระหว่างทั้งสองอย่างนี้ เพื่อความเข้าใจและการพัฒนาสวัสดิภาพของมนุษย์ทั่วโลก

สุดท้ายแล้ว มันน์และคณะมีเจตนาบอกว่า ในขณะที่บริการทางสุขภาพและทางแพทย์ให้ความสนใจส่วนใหญ่กับสุขภาพของบุคคลโดยเฉพาะความเจ็บป่วยทางกายภาพและทุพพลภาพ สาธารณสุข (public health) ได้วิวัฒน์ความสนใจไปสู่วิธีการทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีมากกว่า[9] ตามบทนิยามนี้ ภารกิจของสาธารณสุขคือเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีและป้องกันปัญหาทางสุขภาพเช่นโรค, ทุพพลภาพ, การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ฯลฯ ความหมายดั้งเดิมของสุขภาพของแต่ละบุคคลซึ่งถูกเข้าใจโดยบริการสุขภาพเป็นเพียง "เงื่อนไขหนึ่งสำหรับสุขภาพที่ดี" และไม่ได้มีความหมายเดียวกันกับคำว่า "สุขภาพ" พูดอีกแบบหนึ่งคือ เพียงบริการทางสุขภาพอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับสุขภาพอย่างที่แพทย์สาธารสุข (public health practitioner) เข้าใจ แต่ยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกและลบทั้งที่ชัดเจนและเล็กน้อยต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของประชากรมนุษย์ทั่วโลก

ความเป็นธรรมทางสุขภาพ

ข้อวินิจฉัยทั่วไปยังได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องความเป็นธรรมทางสุขภาพ (Health equity) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกกล่าวถึงในกติกาฯ หมายเหตุในเอกสารว่า "กติกาฯ ห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงบริการสุขภาพและตัวกำหนดสุขภาพเบื้องหลัง รวมถึงในวิธีการและสิทธิในการจัดหาสิ่งเหล่านั้น" มากไปกว่านั้น ความรับผิดชอบในการเยียวยาการเลือกปฏิบัติและผลกระทบของมันในด้านสุขภาพถูกมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของรัฐ: "รัฐมีหน้าที่พิเศษในการจัดหาประกันสุขภาพและสิ่งอำนายความสะดวกทางด้านบริการสุขภาพให้แก่ผู้ที่ไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ และในการป้องกันการเลือกปฏิบัติในการจัดหาบริการและการดูแลสุขภาพในบริเวณซึ่งเป็นที่หวงห้ามจากนานาชาติ" และยังเน้นความสำคัญเพิ่มเติมในเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติบนฐานของเพศ, อายุ, ทุพพลภาพ หรือสมาชิกภาพในชุมชนพื้นเมือง

ความรับผิดชอบของรัฐและองค์การระหว่างประเทศ

ส่วนต่อมาของข้อวินิจฉัยทั่วไปแจกแจงภาระหน้าที่ของประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศในการมุ่งสู่สิทธิในสุขภาพ โดยหน้าที่ต่าง ๆ ของประชาชาติถูกแบ่งออกเป็นสามหมวดหมู่: หน้าที่ที่จะเคารพ, หน้าที่ที่จะปกป้อง และหน้าที่ที่จะทำให้สิทธิในสุขภาพบรรลุขึ้นจริง ตัวอย่างเช่น (ไม่ใช่ทั้งหมด) การป้องกันการเลือกปฏิบัติในการได้รับหรือการจัดหาบริการสุขภาพ, การยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงการคุมกำเนิดหรือการวางแผนครอบครัว, การห้ามมิให้มีมีการปฏิเสธการเช้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพ, การลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม, การห้ามมิให้มีเวชปฏิบัติที่อยู่บนฐานของวัฒนธรรมที่เป็นภัยหรือถูกบังคับ, การรับรองการเข้าถึงตัวกำหนดสุขภาพทางสังคมอย่างเป็นธรรม และการชี้แนวทางการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล, บุคคลากร และอุปกรณ์ทางแพทย์ที่เหมาะสม ในส่วนภาระหน้าที่ของประชาคมนานาชาติประกอบไปด้วยการยอมให้สามารถใช้บริการสุขภาพในประเทศอื่นได้, การป้องกันการละเมิดทางสุขภาพในประเทศอื่น, การร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เหตุการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติ และการหลีกเลี่ยงไม่ใช้มาตรการคว่ำมาตรสินค้าหรือบุคคลากรทางแพทย์เพื่ออิทธิพลทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ

อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ

ภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW)
  ลงนามแล้วและให้สัตยาบันแล้ว
  ให้สัตยาบันโดยภาคยานุวัติหรือสืบสิทธิ
  รัฐซึ่งยังไม่เป็นที่รับรองแต่ยินยอมปฏิบัติตามอนุสัญญา
  ลงนามเท่านั้น
  มิได้ลงนาม

ข้อ 12 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบปี ค.ศ. 1979 ของสหประชาชาติร่างเค้าโครงการปกป้องผู้หญิงจากการถูกเลือกปฏิบัติเมื่อเข้ารับบริการสุขภาพและสิทธิของผู้หญิงในการได้รับบริการสุขภาพเฉพาะเพศ ข้อที่ 12 ฉบับเต็มกล่าวว่า:[10]

ข้อ 12:

  1. รัฐภาคีจะใช้มาตรการที่เหมาะสมทั้งหมดเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในด้านบริการสุขภาพเพื่อรับประกันการเข้าถึงการบริการทางสุขภาพรวมถึงบริการที่เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวบนฐานของความเท่าเทียมระหว่างบุรุษและสตรี
  2. แม้มีบทบัญญัติในวรรค 1 ของข้อนี้ รัฐภาคีจะรับประกันการบริการที่เหมาะสมซึ่งเกี่ยวกับการตั้งครรภ์, การคลอดบุตร และระยะหลังคลอดต่อสตรี โดยให้บริการแบบให้เปล่าเมื่อจำเป็น รวมถึงการให้โภชนาการที่เพียงพอระหว่างการตั้งครรภ์และระยะหลั่งน้ำนม

อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

รัฐภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
  ภาคี
  ลงนามแล้วแต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน
  มิได้ลงนาม

สุขภาพถูกกล่าวถึงในหลายกรณีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (ค.ศ. 1989) ข้อ 3 เรียกร้องให้ภาคีรับประกันให้สถาบันและสถานที่สำหรับการดูแลเด็กปฏิบัติตามมาตรฐานสุขภาพ ข้อ 17 รับรองสิทธิของเด็กในการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสวัสดิภาพทางกายและจิตของตนเอง ข้อ 23 กล่าวถึงสิทธิของเด็กพิการโดยเฉพาะซึ่งรวมถึงบริการทางสุขภาพ, การฟื้นฟูสภาพ และการดูแลป้องกัน ข้อ 24 วางเค้าโครงสุขภาพเด็กอย่างลงรายละเอียดและกล่าวว่า "รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับมาตรฐานทางสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการรักษาความเจ็บปวดและการฟื้นฟูสุขภาพ รัฐภาคีจะพยายามดำเนินการเพื่อรับประกันว่าไม่มีเด็กคนใดที่ถูกลิดรอนสิทธิของตัวเองในการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ" มาตรการต่าง ๆ เพื่อการนำบทบัญญัติไปปฏิบัติถูกระบุไว้ในอนุสัญญาดังนี้:[11][12]

  • ลดการเสียชีวิตของทารกและเด็ก
  • รับประกันการให้การช่วยเหลือทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่จำเป็นต่อเด็กทุกคน โดยเน้นการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐาน
  • ต่อสู้กับโรคภัยและทุพโภชนาการซึ่งรวมถึงที่อยู่ในขอบข่ายของสาธารณสุขมูลฐานผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่พร้อมแล้วและผ่านการจัดหาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและน้ำดื่นที่สะอาดอย่างเพียงพอนอกเหนือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้โดยพิจารณาถึงอันตรายและความเสี่ยงของมลภาวะแวดล้อม
  • รับประกันบริการสุขภาพที่เหมาะสมแก่มารดาทั้งก่อนและหลังคลอด
  • รับประกันว่าทุกส่วนของสังคมโดยเฉพาะบุพการีและเด็กจะได้รับข้อมูลข่าวสาร, การเข้าถึงการศึกษา และการสนับสนุนการใช้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพและโภชนาการเด็ก, ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่, อนามัยและสุขาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อม และการป้องกันอุบัติเหตุ
  • พัฒนาบริการสุขภาพเชิงป้องกัน, การแนะแนวแก่บุพการี และบริการกับการศึกษาด้านการวางแผนครอบครัว

เว็บไซต์องค์การอนามัยโลกแสดงความคิดเห็นว่า "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นขอบข่ายทางกฎหมายและเชิงบรรทัดฐานสำหรับงานขององค์การอนามัยโลกในขอบเขตด้านสุขภาพของเด็กและเยาวชนที่กว้าง"[13] เจฟฟรีย์ กอลด์ฮาเกน เสนออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็น "แม่แบบสำหรับการรณรงค์ด้านเด็ก" และเสนอการนำไปใช้เป็นโครงร่างสำหรับการลดความไม่เสมอภาคและการพัฒนาผลลัพธ์ในด้านสุขภาพเด็ก[14]

อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ

ข้อ 25 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities) (ค.ศ. 2006) ระบุว่า "คนพิการมีสิทธิที่จะได้รับมาตรฐานสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติบนฐานของทุพพลภาพ" วรรคย่อยในข้อ 25 กล่าวว่ารัฐภาคีจะให้บริการสุขภาพที่มี "ความหลากหลาย, คุณภาพ และมาตรฐาน" เดียวกันกับที่ผู้อื่นได้รับแก่ผู้พิการ รวมไปถึงบริการที่จำเป็นต่อการป้องกัน, ระบุ และจัดการทุพพลภาพโดยเฉพาะ บทบัญญัติเพิ่มเติมยังระบุว่าชุมชนท้องถิ่นควรสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการและบริการดูแลนั้นควรได้รับอย่างเท่าเทียมกับในทางภูมิศาสตร์ และมีข้อความเพิ่มเติมซึ่งต่อต้านการปฏิเสธหรือการจัดหาแบบไม่เท่าเทียมกันของบริการทางสุขภาพ (รวมถึง "อาหารและน้ำ" กับ "ประกันชีวิต") บนฐานของทุพพลภาพ[15]

นิยามในวรรณกรรมวิชาการ

ในขณะที่สิทธิมนุษยชนส่วนใหญ่ถูกจัดเป็นสิทธิเชิงลบในเชิงทฤษฎีซึ่งมีหมายความเป็นสิทธิในบริเวณที่สังคมไม่สามารถแทรกแซงหรือจำกัดได้ผ่านการกระทำทางการเมือง เมอร์วิน ซัสเซอร์ (Mervyn Susser) กล่าวว่าสิทธิในสุขภาพเป็นสิทธิที่ท้าทายและมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษเพราะมันมักถูกกล่าวว่าเป็นสิทธิเชิงบวกซึ่งเป็นสิทธิที่สังคมมีหน้าที่จัดหาทรัพยากรและโอกาสให้แก่ประชากรทั่วไป

ซัสเซอร์ให้ข้อกำหนดสี่ข้อที่เขามองว่าอยู่ภายใต้สิทธิในสุขภาพ: การเข้าถึงบริการทางสุขภาพและทางแพทย์อย่างเสมอภาค, ความพยายามทางสังคมอย่าง "สุจริตใจ" ที่จะส่งเสริมสุขภาพที่เท่าทียมกันท่ามกลางกลุ่มสังคมต่าง ๆ, การมีหนทางในการวัดและประเมินความเป็นธรรมทางสุขภาพ, และการมีระบบการเมืองสังคมที่เท่าเทียมเพื่อให้ทุก ๆ ฝ่ายมีเสียงในการรณรงค์และส่งเสริมในเรื่องสุขภาพ โดยมีหมายเหตุว่าแม้สิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งมาตรฐานขั้นในการเข้าถึงทรัพยากรด้านสุขภาพระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับประกันหรือบังคับให้ทุก ๆ คนมีสุขภาวะที่เสมอกันเนื่องมาจากความแตกต่างทางชีวภาพในสถานะทางสุขภาพในตัวของแต่ละคน[16] การแยกแยะระหว่างสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากคำวิจารณ์แนวคิด "สิทธิในสุขภาพ" ที่พบเห็นได้บ่อยนั้นมักบอกว่ามันเป็นสิทธิที่เรียกร้องหามาตรฐานทางสุขภาพที่เป็นไปไม่ได้และปรารถนาที่จะมีสถานะทางสุขภาพซึ่งเป็นนามธรรมและแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละคนหรือแต่ละสังคม[17]

ในขณะที่ซัสเซอร์จัดว่าบริการสุขภาพเป็นสิทธิเชิงบวก พอล ฮันต์ (Paul Hunt) โต้แย้งมุมมองนี้และอ้างว่าสิทธิในสุขภาพยังรวมถึงสิทธิเชิงลบบางสิทธิด้วยเช่นการคุ้มครองจากจากการถูกเลือกปฏิบัติและสิทธิที่จะไม่การรักษาทางแพทย์โดยไม่ได้รับการยินยอมโดยสมัครใจจากผู้รับบริการ อย่างไรก็ตามฮันต์ก็ยอมรับว่าสิทธิเชิงบวกบางสิทธิเช่นความรับผิดชอบของสังคมต่อการให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่ความต้องการทางสุขภาพของผู้ที่ไม่ได้รับการบริการที่เพียงพอหรือเปราะบางนั้นก็รวมอยู่ในสิทธิในสุขภาพด้วย[18]

พอล ฟาร์เมอร์ (Paul Farmer) เขียนถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพในบทความของเขา "The Major Infectious Diseases in the World - To Treat or Not to Treat." (แปลว่า "โรคติดเชื้อหลัก ๆ ในโลก - รักษาหรือไม่รักษา") โดยเขาพูดถึง "ช่องว่างของผลลัพธ์" (outcome gap) ระหว่างกลุ่มประชากรที่ได้รับการแทรกแซงทางสุขภาพและกลุ่มที่ไม่ได้รับ คนจนไม่ได้รับการรักษาแบบเดียวกันกับคนที่มีฐานนะทางการเงินหรือบางทีก็อาจไม่ได้รับการรักษาเลย ราคาของยาและการรักษาที่สูงทำให้เกิดปัญหาการได้รับการดูแลที่เท่าเทียมในประเทศยากจน เขากล่าวว่า "ความเป็นเลิศโดยไร้ความเสมอภาคจวนจะเป็นทวิบถ (dilemma) หลักทางด้านสิทธิมนุษยชนในด้านการบริการสุขภาพของศตวรรษที่ 21"[19]

ใกล้เคียง

สิทธิ สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเรียงตามประเทศหรือดินแดน สิทธิ เศวตศิลา สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย สิทธิเก็บกิน สิทธิในสุขภาพ สิทธิในอาหาร สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย สิทธิชัย ผาบชมภู สิทธิพร นิยม