บทวิจารณ์ ของ สิทธิในสุขภาพ

ฟิลิป บาร์โลว์ (Philip Barlow) เขียนว่าบริการสุขภาพไม่ควรถูกถือเป็นสิทธิมนุษยชนเนื่องจากความยากลำบากในการจำกัดความผลที่เกิดขึ้นและ 'มาตรฐานขั้นต่ำ' ภายใต้สิทธินี้นั้นจะถูกกำหนดไว้ตรงไหน นอกจากนั้นบาร์โลว์กล่าวว่าสิทธิต่าง ๆ ก่อให้เกิดหน้าที่ที่ผู้อื่นต้องมีเพื่อปกป้องและรับรองสิทธินั้น และใครจะแบกรับความรับผิดชอบทางสังคมของสิทธิในสุขภาพนั้นก็ยังไม่ชัดเจน[34] จอห์น เบิร์กลีย์ (John Berkeley) ได้วิจารณ์เพิ่มเติมไปในทางที่เห็นด้วยกับบาร์โลว์ว่าสิทธิในสุขภาพนั้นไม่คำนึงถึงความรับผิดชอบในการรักษาสุขภาพตัวเองของปัจเจกบุคคลอย่างเพียงพอ[35]

ริชาร์ด ดี แลมม์ (Richard D Lamm) แย้งการทำให้บริการสุขภาพเป็นสิทธิ เขาให้นิยามสิทธิว่าเป็นสิ่งที่ต้องคุ้มครองไม่ว่าอย่างไรก็ตาม และเป็นแนวคิดที่ถูกให้นิยามและตีความโดยระบบตุลาการ การทำให้บริการสุขภาพเป็นสิทธิจะทำให้รัฐบาลต้องนำทรัพยากรจำนวนมากมาใช้จ่ายเพื่อจัดหาบริการให้แก่ประชาชน เขากล่าวว่าระบบบริการสุขภาพนั้นอยู่บนสมมติฐานที่ไม่ถูกต้องว่าทรัพยากรมีไม่จำกัด ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดยับยั้งไม่ให้รัฐบาลสามารถจัดหาบริการสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่ทุกคนได้โดยเฉพาะในระยะยาว ความพยายามที่จะให้บริการสุขภาพที่ "เป็นประโยชน์" แก่ทุกคนด้วยทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอาจนำไปสู่การล่มสลายของเศรษฐกิจ แลมม์กล่าวว่าการเข้าถึงบริการสุขภาพเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในการสร้างสังคมที่สุขภาพดี และเพื่อสร้างสังคมที่สุขภาพดีทรัพยากรควรถูกนำไปใช้ในทางสังคมด้วย[36]

อีกหนึ่งคำวิจารณ์ของสิทธิในสุขภาพคือว่ามันเป็นไปไม่ได้ อิมแร เจ พี โลฟเฟลอร์ (Imre J.P. Loefler) อ้างว่าภาระด้านการเงินและโลจิสติกส์ที่การรับรองบริการสุขภาพสำหรับทุกคนจะสร้างขึ้นมานั้นไม่สามารถแบกรับได้ และข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิทธิซึ่งเป้าหมายคือการต่อชีวิตออกไปไม่สิ้นสุด โลฟเฟลอร์เสนอว่าเป้าหมายที่จะพัฒนาสุขภาพของประชากรนั้นจะดีกว่าถ้าหันไปสนใจเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจสังคมแทนการมุ่งสู่การมีสิทธิในสุขภาพอย่างเป็นทางการ[37]

ใกล้เคียง

สิทธิ สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศเรียงตามประเทศหรือดินแดน สิทธิ เศวตศิลา สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย สิทธิเก็บกิน สิทธิในสุขภาพ สิทธิในอาหาร สิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย สิทธิชัย ผาบชมภู สิทธิพร นิยม