ประวัติอัลบั้ม ของ สเลเยอร์

โชว์โนเมอร์ซี

โชว์โนเมอร์ซี (Show No Mercy) คืออัลบั้มสตูดิโอแรกสุดของวง จำหน่ายในเดือนธันวาคม 1983 ผ่านค่ายเพลงเมทัลเบลด โดยไบรอัน สลาเกล (Brian Slagel) เป็นผู้ทำสัญญาให้กับวงภายหลังชมสมาชิกวงเล่นเพลง "Phantom of the Opera" ของไอเอิร์นเมเดน[6] ถือเป็นอัลบั้มใต้ดินอย่างชัดเจน สเลเยอร์ต้องใช้เงินของตัวเองทั้งหมดเพื่อทำอัลบั้มนี้ขึ้น โดยส่วนหนึ่งได้มาจากเงินเก็บของอารายา ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ทำอาชีพเป็นนักบำบัด,[7] และเงินยืมจากพ่อของเคอร์รี คิง[8]

ส่วนการทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อโปรโมตอัลบั้ม วงต้องขอความช่วยเหลือให้เพื่อนสนิทและสมาชิกครอบครัวร่วมทริปคอนเสิร์ตไปด้วยเพื่อช่วยด้านเทคนิคแสงและเสียง แม้ว่าจะได้คำวิจารณ์ว่าเป็นอัลบั้มที่มีคุณภาพต่ำก็ตาม แต่มันก็เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดผ่านค่ายเมทัลเบลดนับตั้งแต่เปิดตัว โดยเฉพาะซิงเกิล "Die by the Sword", "The Antichrist", "Black Magic" ที่เป็นซิงเกิลได้รับความนิยมที่สุดของอัลบั้ม ซึ่งสเลเยอร์มักนำไปแสดงสดบ่อยๆ อัลบั้มสามารถทำรายได้อยู่ในช่วง 15,500 ถึง 20,000 ชุดในสหรัฐ และสามารถขายได้มากกว่า 15,000 ชุดในต่างประเทศ ด้วยลิขสิทธิ์ผ่านทางเมทัลเบลด[6]

เฮลอเวทส์

เฮลอเวทส์ (Hell Awaits) คืออัลบั้มสตูดิโอที่ 2 ของวง จำหน่ายในเดือนมีนาคม 1985[9][10] ภายหลังประสบความสำเร็จในยอดขายของอัลบั้มแรก สามารถทำยอดจำหน่ายได้มากที่สุดของเมทัลเบลด เป็นผลให้ไบรอัน สลาเกล ตัดสินให้ทำอัลบั้มที่สองขึ้น โดยเขายังได้ช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับต้นทุนให้กับวงอีกด้วยและยังจัดหาโปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์หลายคนมาช่วยในสตูดิโอด้วย

เฮลอเวทส์เริ่มนำธีมของนรกและลัทธิซาตานเข้ามาใช้ในเนื้อหาเพลง ด้วยซิงเกิลเปิด "Hell Awaits" ที่เล่นช่วงท่อนหลังซ้ำๆว่า "join us"[11] ในด้านดนตรีถือเป็นการนำเสนอเนื้อหาและกระบวนการที่แตกต่างจากอัลบั้มก่อนหน้านี้มาก อ้างจากคำพูดของคิงและแฮนนีแมน ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากวงแบล็กเมทัลจากเดนมาร์ก "เมอซีฟูลเฟต"[12] เป็นการนิยามอิทธิพลเพลงสู่ดนตรีเอ็กซตรีม อัลบั้มนี้ยังได้ถูกการนำไปอัดใหม่โดยศิลปินใต้ดินอีกเป็นจำนวนมากและมักเกิดอัลบั้มและศิลปินเลียนแบบ (tribute) ขึ้นมา

เรนอินบลัด

สเลเยอร์ในเทศกาล Fields of Rock

เรนอินบลัด (Reign in Blood) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม 1986 สังกัดค่ายเดฟ แจม โดยมี ริค รูบิน (Rick Rubin) ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงเดฟแจมเรเคิดดิงส์ มาเป็นโปรดิวเซอร์ซึ่งช่วยให้ดนตรีของวงพัฒนามากขึ้น เรนอินบลัด ได้รับการตอบรับจากกลุ่มคนฟังและนักวิจารณ์อย่างดี นิตยสารเคอร์แรง! จัดอันดับให้เป็น "อัลบั้มที่หนักที่สุดตลอดกาล" เช่นเดียวกับอัลบั้มอีก 3 วง ในเครือ "บิ๊กโฟว์" (Big 4) ได้แก่ อัลบั้ม "อะมองเดอะลิฟวิง" จาก แอนแทรกซ์, อัลบั้ม "พีชเซลส์...บัทฮูส์บายอิง?" จาก เมกาเดธ และอัลบั้ม "มาสเตอร์ออฟพัพพิทส์" จาก เมทัลลิก้า อัลบั้มนี้ยังช่วยกำหนดมาตรฐานของดนตรีแนว แทรชเมทัล ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษที่ 1980 และสร้างอิทธิพลแก่แนวเพลงนี้เป็นอย่างมากจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เองด้วย[13]

เป็นครั้งแรกของวงที่นำเสนอธีมของลัทธินาซี การเหยียดมนุษย์ จนถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่ของประชาชนด้วยกัน

ถึงแม้อัลบั้มจะประสบความสำเร็จในเรื่องของกระแสความนิยม แต่ก็สามารถไต่ชาร์ดของบิลบอร์ด 200 ได้เพียงอันดับที่ 94[14] และจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1992 ด้วยยอดการก็อปปีมากกว่า 500,000 ชุด[15] โดยมีซิงเกิลหลัก 2 ซิงเกิล คือ "แองเจิลออฟเดธ" (เพลงเปิด) และ "เรนนิงบลัด" (เพลงปิด) ที่ได้รับความนิยมและถูกนำไปใช้เล่นเกือบทุกคอนเสิร์ต

เซาท์ออฟเฮฟเวิน

เดฟ ลอมบาร์โด ด้วยสไตล์กระเดื่องดับเบิลเบสอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนได้รับฉายา "เจ้าพ่อแห่งกลองดับเบิลเบส"

เซาท์ออฟเฮฟเวิน (South of Heaven) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 5 กรกฎาคม 1988 ถือเป็นอัลบั้มที่ 2 และเป็นอัลบั้มสุดท้ายภายใต้ชื่อค่ายเพลงเดฟ แจม โดยมี ริค รูบิน โดยมีริค รูบิน เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับวง ซึ่งช่วยให้วงพัฒนาการขึ้นมากจนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในอัลบั้มก่อนหน้านี้

เซาท์ออฟเฮฟเวิน ก็ยังเป็นอัลบั้มที่ 2 ของวงที่ไต่ขึ้นบิลบอร์ด 200 ด้วยอันดับ 57[14] ในปี 1992 ก็จำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำ จากสมาคมอุตสาหกรรมบันทึกเสียงของสหรัฐ[15] และยังจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงเงินในสหราชอาณาจักร ปี 1993[16]

อัลบั้มได้ลดลงความเบาลงกว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้ ด้วยการจังหวะที่ช้าลงเกือบทุกซิงเกิลของอัลบั้ม เพื่อที่จะสร้างความแตกต่างจากอัลบั้มก่อนหน้านี้ วงได้นำเสนอการไม่รูดกีตาร์เพื่อทำเสียงครวญคราญและลดเสียงแหลมลง ทำให้นักวิจารณ์บางส่วนได้ชมเชยถึงการเปลี่ยนรูปแบบของดนตรี แต่ก็มีบางส่วนที่ตำหนิถึงสไตล์เพลงที่น่าผิดหวัง เซาท์ออฟเฮฟเวิน มีซิงเกิลหลักอย่าง "South of Heaven" "Mandatory Suicide" "Spill the Blood" ซึ่งได้ความนิยมและถูกนำไปแสดงสดบ่อยครั้ง

ซีซันส์อินดิอะบิส

ซีซันส์อินดิอะบิส (Seasons in the Abyss) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 9 ตุลาคม 1990 ผ่านทางค่ายแรกเริ่มเดฟ แจม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอเมริกันเรคคอร์ดดิง ภายหลังค่ายเปลี่ยนชื่อใหม่ อัลบั้มบันทึกเสียงเพลงแบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1990 ที่ฮิตซิตีเวสต์, ฮอลลีวูดซาวด์ และในเดือนมิถุนายนที่เรคคอร์ดแพลนท์ในลอสแองเจิลลิส, แคลิฟอร์เนีย[17][18] อัลบั้มยังถือเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่มีมือกลองลอมบาร์โดร่วมวงด้วย จนมาร่วมอีกครั้งในอัลบั้มคริสต์อิลลูชันปี 2006

สไตล์ดนตรีของอัลบั้มคล้ายคลึงและได้รับการเปรียบเทียบจากนักวิจารณ์รวมกับ 2 อัลบั้มก่อนหน้านี้ เซาท์ออฟเฮฟเวิน และเรนอินบลัด ที่มักได้รับคำชมด้านบวกเสมอ[19] โดยเฉพาะซิงเกิล "War Ensemble" "Dead Skin Mask" "Seasons in the Abyss" ที่มักถูกนำไปแสดงสดบ่อยครั้ง อัลบั้มไต่ขึ้นอันดับ 18 ในสหราชอาณาจักรและบิลบอร์ด 200 ด้วยอันดับที่ 40[20][21] สามารถจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและแคนาดา[22][23]

ดิไวน์อินเตอร์เวนชัน

พอล บอสทาพป์ มือกลองที่ร่วมบันทึกสตูดิโออัลบั้มร่วมกัยสเลเยอร์กว่า 5 อัลบั้ม

ดิไวน์อินเตอร์เวนชัน (Divine Intervention) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 6 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 27 กันยายน 1994 ผ่านทางค่ายเรคคอร์ดดิง เป็นอัลบั้มแรกที่ได้มือกลองมาแทนเดฟ ลอมบาร์โด คือพอล บอสทาพป์ (Paul Bostaph) วงได้ใช้เวลาร่วมทศวรรษในการสร้างภาพลักษณ์ที่รุนแรง นับตั้งแต่อัลบั้มนี้เปิดตัวเกือบ 4 ปีภายหลังอัลบั้มซีซันส์อินดิอะบิส อารายาได้กล่าวว่ามีเวลามากขึ้นที่จะใช้ในการอัดอัลบั้มเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ หน้าปกได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบอัลบั้มแนวเฮฟวีเมทัลที่มีชื่อเสียงอย่างเวส เบนสโคเตอร์ (Wes Benscoter) ถือเป็นการพัฒนาหน้าปกอัลบั้มวงใหม่ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ทำกราฟิก เรียกว่า "Slayergram"

ในปี 1998 อัลบั้มได้ถูกแบนในเยอรมันเนื่องมาจากเนื้อหาในซิงเกิล "SS-3", "Circle of Beliefs", "Serenity in Murder", "213" และ "Mind Control" ดิไวน์อินเตอร์เวนชัน ได้รับคำวิจารณ์มากมาย อัลบั้มสามารถจำหน่ายได้ 93,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก[24][25] ไต่ขึ้นอันดับ 8 บนบิลบอร์ด 200 และอันดับ 15 บนชาร์ทสหราชอาณาจักร อัลบั้มยังสามารถจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและแคนาดา[26][27]

อันดิสพิวท์แอททิทูด

อันดิสพิวท์แอททิทูด (Undisputed Attitude) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 7 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 28 พฤษภาคม 1996 อัลบั้มนำเสนอเพลงโคเวอร์ จากวงพังค์ร็อก ฮาร์ดคอร์พังค์[28][29] อาทิ Minor Threat, T.S.O.L., D.R.I., D.I., Dr. Know, The Stooges และ Verbal Abuse เป็นส่วนใหญ่ของอัลบั้ม และยังประกอบด้วยเพลงโปรเจกต์ที่แต่งโดยแฮนนีแมน ที่แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1984 และ 1985 คือ "Pap Smear" และ "Gemini" ซึ่งเป็นซิงเกิลเดียวของสเลเยอร์ที่ได้บันทึกดั้งเดิมไว้ก่อนหน้านี้ อันดิสพิวต์แอททิทูด สามารถไต่ขึ้นอันดับที่ 34 บนบิลบอร์ด 200[30]

ไดอาโบลัสอินมิวสิกา

ไดอาโบลัสอินมิวสิกา (Diabolus in Musica) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 8 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 9 มิถุนายน 1998 ถือเป็นอัลบั้มที่ 3 ที่ได้มือกลองพอล บอสทาพป์ มาร่วมอัดสตูดิโอ แม้ว่าอัลบั้มจะได้คำวิจารณ์หลากหลาย แต่อัลบั้มก็สามารถขายได้กว่า 46,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก[31] สามารถไต่ขึ้นอันดับ 31 บนบิลบอร์ด 200[32]

เจฟฟ์ แฮนนีแมน ได้กล่าวว่าอัลบั้มมีเนื้อหาสาระที่เป็นดนตรีทดลองที่สุดของสเลเยอร์ มันยังเป็นอัลบั้มแรกของสเลเยอร์ที่ใช้คอร์ด C♯ มาใช้ คำว่า "ไดอาโบลัสอินมิวสิกา" เป็นภาษาลาติน แปลว่า "ปีศาจในดนตรี" (The Devil in Music) ช่วงรอยต่อของดนตรีมีความไม่กลมกลืนลงรอยกัน[33] อัลบั้มยังคงมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา ความผิดปกติของวัฒนธรรม ความตาย วิกลจริต สงคราม และการฆ่าล้างเผ่าพันธ์

ก็อดเฮดส์อัสออล

ก็อดเฮดส์อัสออล (God Hates Us All) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 9 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 11 กันยายน 2001 อัลบั้มได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกจากหลากหลายคิดเห็นและสามารถไต่บิลบอร์ด 200 ถึงอันดับ 28 ได้[34] และได้กว่า 51,000 ก็อปปี้[35] อัลบั้มใช้เวลาในการอัด 3 เดือนที่แวร์เฮาส์สตูดิโอในแคนาดา[36] และยังรวมถึงการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลแกรมมี อย่างซิงเกิล "Disciple" ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงที่มีซิงเกิลเข้าชิงรางวัลนี้[37] The ceremony took place on February 27, 2002, with Tool winning the award for their song "Schism".[38] อัลบั้มนี้ยังเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่พอล บอสทาพป์ ทำหน้าที่มือกลองให้กับวงหลังร่วมสตูดิโอมามากกว่า 4 อัลบั้ม จนกระทั่งในปี 2015 ก็ได้มาร่วมวงอีกครั้งในอัลบั้ม "รีเพนท์เลส" เนื้อเพลงส่วนใหญ่แต่งโดยเคอร์รี คิง ประกอบด้วยเนื้อหาที่แตกต่างจากเดิมก่อนหน้านี้ โดยมีธีมส่วนใหญ่เกี่ยวกับศาสนา การฆาตรกรรม การแก้แค้น และการควบคุมตนเอง[39]

คริสต์อิลลูชัน

คอนเสิร์ตของสเลเยอร์พื้นหลังเป็นฉากหน้าปกคริสต์อิลูชัน จากกระแสวิจารณ์ทำให้ในอินเดียสั่งแบนและทำลาย

คริสต์อิลลูชัน (Christ Illusion) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 10 ของวง ออกจำหน่ายในวันที่ 8 สิงหาคม 2006 อัลบั้มได้รับคำชมอย่างดีจากนักวิจารณ์ และสามารถไต่ขึ้นสู่อันดับ 5 บนบิลบอร์ด 200 ซึ่งเป็นการไต่อันดับดีที่สุดของวงเท่าที่เคยอัลบั้มมา ก่อนที่จะถูกอัลบั้ม "รีเพนเลส" ขึ้นแทนที่ในอันดับที่ 4 อัลบั้มสามารถขายได้กว่า 62,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก[40] คริสต์อิลลูชัน ยังประกอบด้วยซิงเกิลที่ได้รับรางวัลแกรมมีถึง 2 ซิงเกิลคือ "Eyes of the Insane" และ "Final Six"[41][42] และเป็นครั้งแรกที่ได้มือกลองเดฟ ลอมบาร์โดมาร่วมวงอีกครั้งนับตั้งแต่อัลบั้มซีซันส์อินดิอะบิสปี 1990 และเป็นครั้งแรกที่ได้นำคอร์ด D# เข้ามาใช้นับตั้งแต่อัลบั้มดิไวน์อินเตอร์เวนชัน โดยใช้ในซิงเกิล "Jihad", "Flesh Storm", "Catalyst" และ "Consfearacy" ในขณะที่ "Catatonic", "Eyes of the Insane", "Skeleton Christ" และ "Supremist" ใช้คอร์ด B ส่วนที่เหลือใช้ C#

หน้าปกอัลบั้มได้รับการออกแบบโดยศิลปินลาร์รี คาร์โรลล์ ที่เคยออกแบบอัลบั้มเรนอินบลัดมาแล้ว ซึ่งสามารถเรียกกระแสวิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในอัลบั้มนี้ที่นำพระเยซูในสภาพแขนขาดในบ่อเลือดพร้อมกับกองหัวมนุษย์ หรือในเนื้อหาของซิงเกิล "Jihad" ที่กล่าวถึงการก่อร้าย 11 กันยายน ในมุมมองของฝั่งก่อการร้าย จนทำให้ถูกเซนเซอร์จากหลายฝ่าย ทั้งจากกลุ่มคริสเตียนจากมุมไบ กลุ่มสงฆ์คาทอลิก ได้ออกมาตำหนิและออกมาเรียกร้องให้ทำลาย จนเป็นผลให้ทางการอินเดีย สั่งสั่งแบนและทำลาย ผ่านค่ายเพลงอีเอ็มไอทั้งหมด[43]

เวิร์ดเพนท์บลัด

เวิร์ดเพนท์บลัด (World Painted Blood) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 11 ของวง ออกจำหน่ายผ่านค่ายอเมริกันเรคเคิร์ดดิงส์ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2009 โดยมีโปรดิวเซอร์อย่างเกรก ฟิเดลแมน (Greg Fidelman) และริค รูบิน (Rick Rubin) ถือเป็นอัลบั้มเดียวที่ฟิเดลแมนทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ อัลบั้มได้ความหวังอย่างมากในการกลับมานับตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มก่อนหน้านี้ในปี 2006 สมาชิกวงได้เริ่มปล่อยข้อมูลถึงอัลบั้มในช่วงต้นปี 2009 อัลบั้มประกอบด้วยหน้าปก 4 แบบ ซึ่งแต่ละอันจะรวมกันเป็นแผนที่โลกบนพื้นแดงที่เข้าคอนเซปต์ "ปาดเลือดแก่โลก" ตามชื่ออัลบั้มชัดเจน อัลบั้มประกอบด้วย 11 ซิงเกิล ซึ่งยังคงใช้เนื้อหาเดิมเกี่ยวกับความตาย การทำลายล้าง สงคราม การสังหารหมู่ บันทึกศาสนาของยิว เป็นครั้งแรกที่เล่นคอร์ด E-flat อย่างมากนับตั้งแต่ดิไวน์อินเตอร์เวนชัน เวิร์ดเพนท์บลัดถือเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ได้รวมสมาชิกอย่างลอมบาร์โด ซึ่งถูกไล่ออกจากวง และแฮนนีแมน ที่เสียชีวิตจากโรคตับ ในปี 2013

ซิงเกิล "Hate Worldwide" และ "World Painted Blood" ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54 ในหัวข้อ " Best Metal Performance" ในปี 2015 อัลบั้มสามารถจำหน่ายรวมได้ 160,000 ก็อปปี้[44] โดยนับตั้งแต่ออกอัลบั้มสามารถไต่ขึ้นอันดับ 2 บนท็อปฮาร์ดร็อกชาร์ทของสหรัฐได้ อับดับ 12 บนบิลบอร์ด 200[45][46] และอันดับ 40 ในชาร์ทอังกฤษ[47]

รีเพนท์เลส

รีเพนท์เลส (Repentless) เป็นสตูดิโออัลบั้มที่ 12 ของวง ออกจำหน่ายผ่านค่ายนิวเคลียร์บลาสต์ในวันที่ 11 กันยายน 2015 พร้อมกับมือกีตาร์ใหม่แกรี โฮลท์ จากวงเอ็กโซดัสมาแทนแฮนนีแมนที่เสียชีวิตไปในปี 2013 และมือกลองพอล บอสทาพป์ อีกครั้งที่ออกไปภายหลังการกลับมาของลอมบาร์โดนับตั้งแต่ปี 2001 อัลบั้มสามารถขายได้กว่า 49,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรกและไต่ขึ้นบนอันดับ 4 บิลบอร์ด 200 ถือเป็นการขึ้นอันดับดีที่สุดของสเลเยอร์[48] จนต่อมาตกลงไปสู่อันดับ 34 ในสัปดาห์ที่ 2[49]

แหล่งที่มา

WikiPedia: สเลเยอร์ http://www.cria.ca/cert_db_search.php http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=r18220 http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=r541496 http://music.aol.com/album/seasons-in-the-abyss/14... http://www.billboard.com/artist/ http://www.billboard.com/artist/%5B%5B:%E0%B9%81%E... http://www.billboard.com/biz/articles/1560533/slay... http://www.decibelmagazine.com/features_detail.asp... http://www.drummerworld.com/drummers/Dave_Lombardo... http://www.espguitars.com/news/news_tomchat.html