เมนูนำทาง
หนังสืออพยพ อพยพขณะอพยพออกจากอียิปต์นั้น นับเฉพาะผู้ชายได้ทั้งสิ้นประมาณหกแสนคน ไม่รวมผู้หญิง เด็ก และคนต่างชาติที่ขอติดตามไปด้วย
รวมเวลาที่อิสราเอลอาศัยในแผ่นดินอียิปต์ เป็นเวลา 430 ปี ทั้งนี้เป็นไปตามคำพยากรณ์ที่พระเจ้าประทานให้แก่อับราฮัม เมื่อออกจากอียิปต์ พระเจ้าทรงให้ผู้ชายทุกคนที่ยังมิได้เข้าสุหนัต ให้ถือพิธีเข้าสุหนัต เพื่อแสดงตนว่าได้เข้าเป็นชนชาติอิสราเอลด้วยแล้ว จึงถือปฏิบัติตั้งแต่นั้นมา และเฉพาะผู้ที่ได้เข้าสุหนัตแล้วเท่านั้นที่เข้าร่วมพิธีปัสคาได้
นอกจากนี้ ยังมีกำหนดการถวายสัตว์หัวปี เพื่อเป็นเครื่องถวายบูชา เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติในอียิปต์ที่พระเจ้าทรงนำบุตรหัวปีของอียิปต์ไป จนเป็นเหตุให้อิสราเอลได้เป็นไทอีกด้วย
ในการอพยพของอิสราเอล ข้ามทะเลทรายครั้งนี้ กินเวลากว่า 40 ปี มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย และเป็นที่มาของคัมภีร์ไบเบิลในหมวดเบญจบรรณถึง 5 เล่มด้วยกัน
เมื่ออิสราเอลออกเดินทางจากอียิปต์นั้น ต้องผ่านเส้นทางที่เป็นทะเลทรายอันร้อนระอุ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินผ่านเมืองที่มีผู้คนอาศัย (ในสมัยก่อนการยกพลผ่านเมืองอาจก่อให้เกิดสงครามได้) เมื่อออกเดินทางพระเจ้าเสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เสาเมฆและเสาเพลิง มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย[7]
เมื่ออิสราเอลออกเดินทางจากอียิปต์ไปแล้วนั้น ฟาโรห์และเหล่าขุนนางก็เปลี่ยนความคิด ต้องการให้คนอิสราเอลกลับมาเป็นทาสดังเดิม จึงได้จัดทัพออกติดตามอิสราเอล ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า ฟาโรห์ ทรงจัดเตรียมรถรบอย่างดี 600 คัน กับรถรบทั้งหมดในอียิปต์ ติดตามอิสราเอลไป
เมื่อกองทัพอียิปต์ติดตามมาจวนถึงแล้วนั้น ฝ่ายอิสราเอล กำลังตั้งค่ายอยู่ริมทะเลแดง โมเสสได้กล่าวกับชนชาติอิสราเอลว่า "อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้ เพราะคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้ พวกท่านจะไม่ได้เห็นอีกตลอดไป พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย พวกท่านจงสงบอยู่เถิด"[8] แล้วพระเจ้าทรงสั่งให้โมเสสยกไม้เท้าขึ้นเหนือทะเล ทำให้ทะเลนั้นแหวกออก น้ำก็ตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับอิสราเอลทั้งซ้ายและขวา และคนอิสราเอลนั้นเดินข้ามทะเลไปได้ และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาอยู่ข้างหลังเขา คือระหว่างพลโยธาอียิปต์ และพลโยธาอิสราเอล เมื่ออิสราเอลข้ามผ่านทะเลแดงไปแล้ว พระเจ้าทรงบัญชาให้โมเสสยื่นมือออกไปเหนือทะเล น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์[9]
เมื่ออิสราเอลรอดพ้นจากอียิปต์ได้ ต้องเดินทางท่ามกลางทะเลทรายซึ่งแห้งแล้งและกันดารอาหาร พระเจ้าจึงทรงประทานอาหารตกลงมาจากท้องฟ้า และทรงอนุญาตให้อิสราเอลเก็บกินได้พอกินเฉพาะวันหนึ่งเท่านั้น หากเก็บไว้เกินก็เน่าเป็นหนอนและบูดเหม็น แต่ในวันที่หก อนุญาตให้เก็บเป็นสองเท่า เพราะในวันสะบาโตพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้กระทำกิจการใด ๆ
อาหารที่พระเจ้าประทานมานั้น อิสราเอล เรียกว่า "มานา" เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นผสมน้ำผึ้ง พระเจ้าทรงประทานมานาในเวลาเช้า มานาปรากฏขึ้นหลังจากน้ำค้างระเหย แต่พอแดดร้อนจัดมานาก็ละลายไป
พระเจ้าทรงประทานมานา ให้แก่ อิสราเอล ตลอดระยะเวลา 40 ปี ที่เดินทางอยู่ในทะเลทราย จนกระทั่งออกเดินทางถึงยังชายแดนแคว้นคานาอัน[10]
ภายหลังจากอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ได้ 3 เดือน ก็มาถึงภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงให้โมเสสนำความไปแจ้งแก่อิสราเอลว่า "...ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงเราจริง ๆ และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ พวกเจ้าจะเป็นของล้ำค่าของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา..."[11] และอิสราเอลก็ทูลตอบว่า "ทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น พวกข้าพเจ้าจะทำตาม"[12] ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาซีนายเพื่อรับธรรมบัญญัติจากพระเจ้า
พระเจ้าทรงให้โมเสสแต่งตั้งอาโรนและบุตรของอาโรน เป็นปุโรหิต ทำหน้าที่ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า ซึ่งประกอบด้วยแท่นเผาบูชา และแท่นเครื่องหอม สิ่งของที่ถวายบูชาประจำวันได้แก่
โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาซีนาย เป็นเวลา 40 วัน 40 คืน มิได้ลงมาจากภูเขาเลย และทรงประทานแผ่นพระโอวาทสองแผ่นเป็นแผ่นศิลาจารึกด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า[13]
ฝ่ายประชาชนเห็นโมเสสไม่ลงมาจากภูเขา จึงพากันปรึกษาอาโรนให้สร้างพระใหม่ให้พวกเขา เพราะเห็นว่าโมเสสนั้นหายไปนานแล้ว อาโรนจึงให้ชาวอิสราเอลนำทองคำมารวมกัน และหล่อเป็นรูปโคหนุ่ม และนับถือโคหนุ่มนั้นเป็นพระเจ้า และจัดงานเลี้ยงฉลองกัน
ฝ่ายพระเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า "เจ้าจงลงไปเถิด ด้วยว่าชนชาติของเจ้า...ได้ทำความเสื่อมเสียมากแล้ว..." โมเสสจึงลงมาจากภูเขาพร้อมด้วยศิลาทั้งสองแผ่น และเมื่อลงมาถึงที่ค่ายพัก โมเสสพบกับงานเฉลิมฉลอง และการบูชาโคหนุ่ม จึงโกรธและโยนแผ่นศิลาทิ้งตกแตกที่เชิงภูเขา แล้วท่านสั่งให้นำรูปโคหนุ่มนั้นเผาและบดเป็นผงโรยลงในน้ำ บังคับให้ชนชาติอิสราเอลดื่ม[14]
เสร็จการสะสาง โมเสสจึงขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอีก และครั้งนี้พระเจ้าทรงประกาศพระนามของพระองค์ว่า "พระยาห์เวห์" และทรงให้โมเสสสกัดแผ่นศิลาชุดที่สองขึ้น[15]
เมื่อโมเสสได้ลงจากภูเขา และถือแผ่นพระโอวาทลงมาด้วย เมื่อลงมานั้น โมเสสไม่ทราบว่าผิวหน้าของตนทอแสงเพราะพระเจ้าทรงสนทนากับท่านและได้รับพระสิริจากพระองค์ เมื่ออาโรนและอิสราเอลเห็นหน้าของท่านทอแสงก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ ท่านจึงเรียกเขามาและให้บัญญัติแก่อิสราเอลตามที่พระเจ้าตรัสแก่ท่าน[16]
ในครั้งนั้น พระเจ้าทรงบัญชาให้สร้างพลับพลา ขึ้นเป็นสถานนมัสการพระองค์ ซึ่งประกอบด้วย หีบแห่งพันธสัญญา โต๊ะ คันประทีป แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ แท่นเผาเครื่องหอม แท่นเผาเครื่องเผาบูชา ขัน ลานพลับพลา ชุดปุโรหิต น้ำมันหอม และเครื่องโลหะสำหรับใช้ในสถานนมัสการ โมเสสทำตามทุกประการ
เมื่อสามารถสร้างสถานนมัสการเสร็จสิ้น ก็ถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องธัญบูชา แล้วจึงออกเดินทางต่อไป ตลอดการเดินทางนั้นมีเมฆปกคลุมอยู่ หากเมฆนั้นถูกยกขึ้นเมื่อใด ชนชาติอิสราเอลก็ยกเดินต่อไป แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ออกเดินทางเลย[17]
เมนูนำทาง
หนังสืออพยพ อพยพใกล้เคียง
หนังสือเดินทางไทย หนังสือปฐมกาล หนังสืออิสยาห์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หนังสืออพยพ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หนังสือกันดารวิถี หนังสือเลวีนิติ หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ หนังสือเดินทางชนิดอ่านด้วยเครื่องได้แหล่งที่มา
WikiPedia: หนังสืออพยพ http://www.thaicatholicbible.com/main/old-exodus