อะกริวอลเทอิกส์ (
อังกฤษ: Agrivoltaics) หรือ
อะโกรโฟโตวอลเทอิกส์ (
อังกฤษ: Agrophotovoltaics) หรือการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ท่ามกลางการทำเกษตร คือการพัฒนา
พื้นที่เพื่อการผลิตไฟฟ้าด้วย
เซลล์แสงอาทิตย์ (Photovoltaics) ร่วมกันกับการใช้งานเชิง
เกษตรกรรม[1] การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้ท่ามกลางพืชแปลว่าทั้งสองจะต้องแบ่งกันใช้แสงอาทิตย์ในการผลิตผลผลิตทั้งสองชนิด
[2] กลวิธีนี้ถูกคิดขึ้นเป็นครั้งแรกโดย
อดอล์ฟ เกิทซ์แบร์เกอร์ (Adolf Goetzberger) และ อาร์มิน ซาสทรอฟ (Armin Zastrow) ในปี ค.ศ. 1981.
[3] คำว่าอะกริวอลเทอิกส์ถูกใช้เป็นครั้งแรกในปึ ค.ศ. 2011
[4]กฎหมายเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าแบบอะกริวอลเทอิกส์นั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ พืชส่วนใหญ่ไม่เหมาะกับการใช้งานรูปแบบนี้ ผู้ที่ตัดสินใจลงทุนใช้ระบบอะกริวอลเทอิกส์อาจมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในปริมาณหรือคุณภาพของผลิตผลทางการเกษตร หรือเพื่อการผลิตพลังงานไฟฟ้าเป็นหลักและปลูกพืชไว้รอบ ๆ แผงเพียงเล็กน้อย มากไปกว่านั้น บางคนให้นิยามของระบบอะกริวอลเทอิกส์เป็นเพียงการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้บนหลังคาโรงนาหรือฟาร์มปศุสัตว์
[2] หรือในอีกทางหนึ่ง โครงการขนาดเล็กในสหรัฐบางแห่งซึ่งติดตั้ง
รังผึ้ง (beehive) ไว้ตามขอบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ก็ถูกเรียกว่าระบบอะกริวอลเทอิกส์เช่นกัน
[5]ในแง่ของประสิทธิภาพ พื้นที่ทางการเกษตรนั้นเหมาะกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุด โดยสามารถสร้างกำไรและพลังงานได้มากกว่าระบบที่อยู่ในพื้นที่ร้าง เหตุเพราะระบบโฟโตวอลเทอิกนั้นจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และไร่นาทั่วไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความชื้นซึ่งคุณสมบัติที่ทำให้เย็นลงของ
ความดันไอเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มประสิทธิภาพของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ จึงมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคตจะเพิ่มการแข่งขันแย่งชิงพื้นที่ทางการเกษตร พื้นที่ทางการเกษตรที่ดีที่สุดสำหรับการแปลงเป็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์นั้นอยู่ในภูมิภาคภาคตะวันตกของสหรัฐ แอฟริกาตอนใต้ และตะวันออกกลาง
ทุ่งหญ้าและ
พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นชนิดของพื้นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่พื้นที่อย่าง
ทุ่งหิมะ (Snow field) และทุ่งน้ำแข็งเป็นสภาพแวดล้อมที่แย่ที่สุด หากสมมุติว่าศักยภาพของการผลิตพลังงาน
มัธยฐานเท่ากับ 28
วัตต์ต่อตารางเมตร (irradiance) ตามที่อ้างโดยบริษัทพลังงาน
โซลาร์ซิตีจาก
รัฐแคลิฟอร์เนีย รายงานฉบับหนึ่งประมาณการณ์อย่างคร่าว ๆ ไว้ว่าการคลุมพื้นที่ทางการเกษตรเพียง 1% จากที่มีอยู่ทั่วโลกด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วไปจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่โลกต้องการในปัจจุบันได้
[6]