การรุกรานอิตาลีและการสิ้นพระชนม์ ของ อัตติลา

การพบปะระหว่างพระสันตะปาปาเลโอกับอัตติลา” โดยราฟาเอล

อัตติลากลับมาอ้างสิทธิในการแต่งงานกับจัสตา กราตา โฮโนเรียอีกครั้งในปี ค.ศ. 452 ในขณะเดียวกันก็เที่ยวรุกรานและทำลายเมืองต่าง ๆ ระมาตามทาง ที่เป็นผลให้ผู้คนอพยพหนีไปอยู่บนเกาะเล็ก ๆ หลายเกาะในลากูนเวนิส เมืองที่กองทัพของอัตติลาทำลายและเผารวมทั้งอควิเลเอียที่ถูกทำลายจนสิ้นซาก ตำนานกล่าวว่าอัตติลาถึงกับสร้างป้อมบนเนินเหนือเมืองอควิเลเอียเพื่อนั่งดูเพลิงเผาเมืองที่ต่อมากลายเป็นเมืองอูดิเนซึ่งยังคงมีซากปราสาทที่กล่าวกันว่าสร้างโดยอัตติลาอยู่ เฟลเวียส เอเทียสผู้ไม่มีหนทางที่ปะทะกองทัพของอัตติลาโดยตรงได้พยายามก่อกวนเพื่อให้ความคืบหน้าช้าลง ในที่สุดอัตติลาก็หยุดทัพที่แม่น้ำโป เมื่อมาถึงช่วงนี้กองทัพของอัตติลาก็อาจจะประสบกับโรคภัยไข้เจ็บซึ่งทำให้ต้องหยุดการรุกราน

ฝ่ายจักรพรรดิวาเล็นติเนียนที่ 3 ก็ทูลขอให้สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 1 พร้อมด้วยกงสุลอาวิเอนัสและพรีเฟ็คท์ทริเจเทียสไปพบกับอัตติลาที่มินชิโอไม่ไกลจากมานตัว พระสันตะปาปาลีโอทรงได้รับสัญญาจากอัตติลาว่าจะถอยทัพจากอิตาลีและทำการเจรจาสันติภาพกับจักรพรรดิวาเล็นติเนียน[20] นักบุญพรอสเพอร์แห่งอาควิเทนบันทึกการพบปะครั้งนี้ที่น่าเชื่อถือได้ไว้อย่างสั้น ๆ แต่คำบรรยายโดยผู้ไม่ทราบนามต่อมา[21] เป็น “ตำนานที่ราฟาเอลนำไปวาด และอัลการ์ดีนำไปสลัก” (ดังที่เอ็ดเวิร์ด กิบบอนกล่าว) บันทึกว่าพระสันตะปาปาด้วยความช่วยเหลือโดยนักบุญปีเตอร์ และ นักบุญพอลแห่งทาซัสหว่านล้อมให้[อัตติลา]ถอยทัพออกจากเมือง และสัญญากับอัตติลาว่าถ้าถอยไปอย่างสงบสุขแล้ว ทายาทก็จะได้รับมงกุฎศักดิ์สิทธิ์แห่งฮังการี[22] พริสคัสบันทึกว่าการสิ้นพระชนม์ของอาลาริคไม่นานหลังจากเข้าตีเมืองและปล้นสดมทำลายกรุงโรมในปี ค.ศ. 410 อาจเป็นลางที่ทำให้อัตติลาต้องหยุดคิดอยู่บ้างก็เป็นได้

ภาพการพบปะระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 1 และอัตติลาจาก “บันทึกพงศาวดารภาพวิจิตรแห่งเวียนนา” (Vienna Illuminated Chronicle) ราว ค.ศ. 1360

หลังจากถอยทัพออกจากอิตาลีกลับไปยังพระราชวังทางอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำดานูบ อัตติลาก็วางแผนที่จะเข้าโจมตีคอนสแตนติโนเปิลอีกครั้งเพื่อไปทวงบรรณาการที่จักรพรรดิมาร์เชียนทรงสั่งให้ยุติ (จักรพรรดิมาร์เชียนผู้ครองราชย์ต่อจากจักรพรรดิธีโอโดเซียสมีพระบรมราชโองการให้ยุติการส่งบรรณาการเมื่อปลายปี ค.ศ. 450 ขณะที่อัตติลาไปทำการรณรงค์ทางทหารอยู่ทางตะวันตก นอกจากนั้นการรุกรานในคาบสมุทรบอลข่านหลายครั้งของอัตติลาก็ทำให้ไม่เหลืออะไรให้ปล้นสดมอีกเท่าใดนัก) แต่อัตติลามาเสด็จสวรรคตเมื่อต้นปี ค.ศ. 453 เสียก่อน โดยทั่วไปแล้วจากพริสคัสกล่าวว่าในการเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองการแต่งงานครั้งล่าสุดกับสตรีสาวสวยอิลดิโค (ถ้าเป็นชื่อที่ไม่ได้แผลงมาก็อาจจะเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากกอธ) [23] อัตติลามีอาการตกเลือดกำเดาอย่างหนัก และสำลักจนสิ้นพระชนม์ อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ประชวรด้วยเลือดออกภายในหลังจากที่เสวยน้ำจัณฑ์ไปเป็นอันมาก ด้วยอาการที่เรียกว่า หลอดเลือดขอดในหลอดอาหาร (esophageal varices) เมื่อหลอดเลือดขยายตัวในบริเวณตอนล่างของหลอดอาหารแตกที่ทำให้เสียชีวิตจากการเสียเลือด[24]

อีกทฤษฎีหนึ่งที่บันทึกราว 80 ปีหลังจากการเสด็จสวรรคตโดยนักบันทึกประวัติศาสตร์โรมันเคานท์มาร์เซลลินัสกล่าวว่า “อัตติลากษัตริย์ของชนฮันและผู้ทำลายเมืองต่าง ๆ ในยุโรป ทรงถูกแทงโดยมีดของพระมเหสี”[25]ตำนานโวลซุงกา” (Volsunga saga) และ “กวีนิพนธ์เอดดา” (Poetic Edda) ก็อ้างว่าพระเจ้าอัตลิ (อัตติลา) เสด็จสวรรคตด้วยน้ำมือของพระมเหสีโกดรุนเช่นกัน[26] แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ถือว่าสองเรื่องหลังนี้เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือมากไปกว่าคำบอกเล่า และเลือกที่จะเชื่อที่บันทึกของพริสคัส แต่เมื่อไม่นานมานี้บันทึกของพริสคัสก็ได้รับการวิจัยโดยไมเคิล เอ. แบ็บค็อค[27] จากรายละเอียดทางนิรุกติศาสตร์ แบ็บค็อคสรุปว่าบันทึกของพริสคัสว่าอัตติลาเสด็จสวรรคตโดยโรคธรรมชาติเป็นการ “อำพราง” และกล่าวว่าจักรพรรดิมาร์เชียนผู้ครองจักรวรรดิโรมันตะวันออกระหว่าง ค.ศ. 450 ถึง ค.ศ. 457 ที่เป็นแรงดันทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จสวรรคตของอัตติลา

จอร์ดาเนส กล่าวว่า: “ผู้ยิ่งใหญ่เหนือนักการสงครามทั้งปวงควรจะได้รับความโศรกเศร้าไม่ใช่โดยการตีอกชกหัวอย่างสตรี และการร้องไห้ แต่ด้วยเลือดเนื้อของลูกผู้ชาย” ทหารม้าของพระองค์ควบม้ารอบกระโจมไหมที่เป็นที่ตั้งพระศพของอัตติลาและขับเพลงอาลัย (Dirge) จากบันทึกของนักเขียนชาวโรมันคาสซิโอโดรัส และ จอร์ดาเนส: “Who can rate this as death, when none believes it calls for vengeance?”

หลังจากนั้นก็มีการฉลอง “สตราวา” (strava หรือ การไว้อาลัย) ตรงที่ฝังพระบรมศพโดยมีการเลี้ยงใหญ่ ตามตำนานแล้วกล่าวกันว่าอัตติลาได้รับการฝังในโลงซ้อนสามชั้นที่ทำด้วยทอง, เงิน และ เหล็ก พร้อมด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ทรงได้มาจากการรุกราน ข้าราชบริพารทำการเบี่ยงส่วนหนึ่งของแม่น้ำ และฝังพระศพลงในก้นแม้น้ำ หลังจากนั้นก็ถูกสังหารเพื่อไม่ให้ผู้ใดทราบสถานที่ที่ฝังพระศพ

พระราชโอรสของอัตติลาเอลแล็ค (Ellac) ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทายาท, เดนจิซิค และ แอร์นัคห์ต่อสู้กันในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนระหว่างกันโดยเฉพาะการแบ่งรัฐประเทศราชต่าง ๆ ฉะนั้นจักรวรรดิจึงถูกแบ่งแยก ต่อสู้ระหว่างกัน และในที่สุดก็แตกสลายในปีต่อมาในยุทธการเนดาโอโดยออสโตรกอธ และเกปิดภายใต้การนำของอาร์ดาริค บันทึกของจอร์ดาเนสกล่าวว่าอาร์ดาริคผู้เป็นประมุขของอาณาจักรบริวารอันสำคัญของอัตติลาทรยศต่อพี่น้องเพราะมีความรู้สึกว่าชาติของตนถูกปฏิบัติเยี่ยงทาส

ลูกและญาติพี่น้องของอัตติลาหลายคนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในนามและในกิจการที่กระทำ แต่ไม่นานเชื้อสายของอัตติลาก็หายไปโดยไม่อาจจะสืบย้อนหลังได้ แต่กระนั้นนักพงศาวลีวิทยา (Genealogist) ก็ยังพยายามที่จะปะติดปะต่อญาติวงศ์ของประมุขหลายคนในยุคกลาง แหล่งหนึ่งที่พอจะน่าเชื่อถืออ้างว่าข่านแห่งบัลแกเรียสืบเชื้อสายมาจากอัตติลา นอกจากนั้นก็มีการพยายามลำดับญาติวงศ์ของชาร์เลอมาญไปยังอัตติลาแต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นที่แน่นอน

แหล่งที่มา

WikiPedia: อัตติลา http://www.ucalgary.ca/~vandersp/Courses/texts/jor... http://www.gnxp.com/MT2/archives/000405.html http://books.google.com/books?id=0vt_4oJLGzAC&pg=P... http://books.google.com/books?id=F-QawgVmYn8C&pg=P... http://books.google.com/books?id=hF5mpUTy1z0C&pg=P... http://www.kroraina.com/huns/mh/ http://www.kroraina.com/huns/mh/mh_4.html http://www.romansonline.com/Src_Frame.asp?DocID=Gt... http://www.sacred-texts.com/neu/poe/poe35.htm http://www.thelatinlibrary.com/marcellinus.html