ประชากร ของ อัมสเตอร์ดัม

การเติบโตของจำนวนประชากร

เมื่อปี ค.ศ. 1300 อัมสเตอร์ดัมมีประชากรเพียง 1,000 คน[35] ได้จำนวนได้พุ่งสูงขึ้นมากในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 จากการค้าขายธัญพืชกับสันนิบาตฮันเซอ[36] แต่ยังเล็กกว่าเมืองใหญ่ในฟลานเดอร์สและบราบันต์ ที่อยู่ในกลุ่มประเทศต่ำเช่นกัน[37] แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติต่อต้านการปกครองของสเปนและการเสียแอนต์เวิร์ปให้กับสเปนในปี ค.ศ. 1585 ผู้คนหลั่งไหลมาอยู่ในอัมสเตอร์ดัมทั้งมาจากสเปน โปรตุเกส ยุโรปตะวันออก เยอรมนี และสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะชาวยิว[38] จำนวนประชากรจากปี ค.ศ. 1585 (ราว 41,000 คน) เพิ่มเป็นเท่าตัวในปี ค.ศ. 1610 (ราว 82,000 คน) จนเมื่อสาธารณรัฐได้เอกราช ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คนราว ค.ศ. 1660[39] จนมาคงตัวที่ตัวเลข 240,000 คนตลอดช่วงศตวรรษที่ 18[40]

ในปี ค.ศ. 1750 อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรปรองจากลอนดอน ปารีส และเนเปิลส์[41] นับเป็นการขยายตัวของเมืองที่น่าสนใจเพราะอัมสเตอร์ดัมไม่ได้เป็นศูนย์กลางของรัฐบาลและอาณาจักรของเนเธอร์แลนด์ก็มีขนาดเล็กกว่าของอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือจักรวรรดิออตโตมันมาก

จำนวนประชากรเริ่มหดตัวในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ลงมาเหลือ 200,000 คนในปี ค.ศ. 1820[42][43] ก่อนที่จะกลับมาเพิ่มสูงอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรของอัมสเตอร์ดัมแตะ 872,000 คนเมื่อปี ค.ศ. 1959[44] ก่อนจะลดลงมาเล็กน้อยหลังจากที่รัฐบาลสนับสนุนการขยายตัวของเมืองในบริเวณชานเมืองและเมืองรอบข้าง ทำให้ชาวอัมสเตอร์ดัมย้ายออกไปอยู่ปืร์เมอเร็นด์และอัลเมเรอเป็นจำนวนมาก[45][46][47][45] จนกระทั่งปี ค.ศ. 1985 อัมสเตอร์ดัมเหลือประชากร 675,570 คน[48] ก่อนจะมีการปรับโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมืองเติบโตขึ้นและเกิดการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยในอัมสเตอร์ดัมอีกระลอก[49][50] ปัจจุบัน มีผู้อพยพต่างชาติเข้ามาอยู่มากขึ้น จนมีประชากรมากกว่า 872,680 คน ในปี ค.ศ. 2019[51]

การอพยพย้ายถิ่น

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 ผู้อพยพย้ายถิ่นมาอยู่อัมสเตอร์ดัมส่วนใหญ่คือชาวอูว์เกอโน ชาวฟลานเดอร์ส ชาวยิวเซฟาร์ดี และชาวแคว้นเว็สท์ฟาเลิน สามกลุ่มแรกเป็นผู้อพยพหนีภัยศาสนา ส่วนชาวเว็สต์ฟาเลินนั้นอพยพเพื่อการค้าขายเป็นหลัก อัมสเตอร์ดัมมีผู้อพยพย้ายเข้ามาอยู่เรื่อยมาในศตวรรษที่ 18 และ 19 ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะมีการกวาดต้อนชาวยิวไปใช้แรงงานและสังหารหมู่ที่ค่ายกักกันโดยนาซีเยอรมนี คิดเป็นราวๆร้อยละ 10 ของประชากรทั้งเมือง[52]

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ครั้งแรกเมื่อหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ประกาศเอกราชกลายเป็นประเทศอินโดนีเซียราวๆทศวรรษที่ 1940 และ 1940 จากนั้นในทศวรรษที่ 1960 มีแรงงานอพยพจากตุรกี โมร็อกโก อิตาลี และสเปนย้ายเข้ามาหางานทำในอัมสเตอร์ดัม ต่อด้วยการอพยพหลังการประกาศเอกราชของประเทศซูรินามที่ผู้อพยพย้ายเข้ามาอาศัยในแถบไบล์เมอร์

นอกจากนี้ยังผู้ลี้ภัยและผู้หลบหนีเข้าเมืองจากยุโรป อเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น ทำให้ชาวอัมสเตอร์ดัมที่อยู่มาก่อนเริ่มอพยพไปยังเมืองใหม่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้ย้ายมาอยู่อย่างปืร์เมอเร็นด์และอัลเมเรอในช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง 1980 กลุ่มคนทำงานและศิลปินจึงย้ายเข้าไปอยู่ยังย่านเดอไปป์และยอร์ดันที่เป็นแหล่งที่อยู่เก่าของกลุ่มผู้ย้ายออก ผู้อพยพที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกมักอาศัยอยู่ตามอาคารเคหะที่รัฐบาลจัดหาให้ซึ่งอยู่ที่ย่านตะวันตกและย่านไบล์เมอร์ ปัจจุบันชาวอัมสเตอร์ดัมที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อสายอื่นๆที่ไม่ใช่ชาวตะวันตกมีมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด[53][54][55] ในขณะเดียวกัน เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีที่มีพ่อแม่เป็นชาวดัตช์ดั้งเดิมมีเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น[56] ผู้มีเชื้อสายต่างชาติส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในย่านนิวเว็สท์ เซบืร์ค ไบล์เมอร์ และบางส่วนของอัมสเตอร์ดัมโนร์ด[57][58]

ปัจจุบัน ชาวเมืองอัมสเตอร์ดัมมาจาก 180 ประเทศ[59] เป็นหนึ่งในเมืองที่มีสัญชาติของประชากรหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[60]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อัมสเตอร์ดัม http://www.emporis.com/en/wm/ci/bu/sk/li/?id=10075... http://www.holland.com/global/Tourism/Cities-in-Ho... http://geography.howstuffworks.com/europe/geograph... http://www.iamsterdam.com/ http://www.iamsterdam.com/press_room/press_release... http://www.jlgrealestate.com/Samuel_Sarphati/Sarph... http://www.oldest-share.com/ http://www.weatherbase.com/weather/weather-summary... http://www.uncp.edu/home/rwb/Amsterdam_l.html http://ec.europa.eu/culture/our-programmes-and-act...