ประวัติศาสตร์ ของ อาณาจักรปตานี

ราชวงศ์ศรีวังสา

ฮิกายัต ปัตตานีขบวนเสด็จของรายาฮีเยา

เมืองปัตตานีพัฒนาขึ้นมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเล เมื่อมีเรือสินค้ามาจอดแวะอยู่บ่อย ๆ เมืองก็ขยายตัวออกไป มีผู้คนมาอาศัยหนาแน่น รายาศรีวังสาจึงย้ายเมืองหลวงจาก "โกตามะห์ลิฆัย" เมืองหลวงเก่า[2]มายังปัตตานี สมัยนั้นการติดต่อกับต่างชาติ โดยเฉพาะอินเดียและคาบสมุทรอาหรับได้ส่งผลสำคัญคือการยอมรับนับถือศาสนาอิสลามโดยตามตำนานกล่าวว่าชาวปาไซทำการรักษาอาการป่วยของรายาอินทิราที่ไม่มีใครสามารถรักษาให้หายได้ พระองค์จึงยินยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม[3] และการดัดแปลงอักษรอาหรับเป็นอักษรยาวี นอกจากนี้ยังติดต่อกับอาณาจักรอยุธยาอย่างใกล้ชิด ดังที่ปรากฏในปี พ.ศ. 2106 ว่ากองทัพปัตตานีได้เดินทางมาถึงอยุธยา และได้ก่อความวุ่นวายขึ้น[4] จากเหตุการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์กับอยุธยาตกต่ำลง ขณะที่เหตุการณ์ภายในก็เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจในหมู่เครือญาติเรื่อยมา จนกระทั่งไม่มีผู้สืบทอดอำนาจหลงเหลือ บัลลังก์รายาจึงตกเป็นของสตรีในที่สุด

อาณาจักรปัตตานีในช่วงสมัยรายาฮีเยา (พ.ศ. 2127-2159) ถึงรายากูนิง (พ.ศ. 2178-2231) ซึ่งล้วนเป็นกษัตรีย์ ถือเป็นอาณาจักรของชาวมลายูที่มีความรุ่งเรืองมากที่สุด หลังจากมะละกาตกเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส ทำให้ปัตตานีกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและมีความรุ่งเรืองมาก ดังบันทึกของชาวต่างชาติว่า

“พลเมืองปัตตานีมีชายอายุ 16-60 ปี อยู่ถึง 150,000 คน เมืองปัตตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน บ้านเรือนราษฎรนับตั้งแต่ประตูราชวังถึงตัวเมืองปลูกสร้างเรียงรายไม่ขาดระยะ หากว่ามีแมวเดินบนหลังคาบ้านหลังแรกไปยังหลังสุดท้าย ก็เดินได้โดยไม่ต้องกระโดดลงบนพื้นดินเลย”

และ “ปัตตานีมีแคว้นต่างๆ อยู่ภายใต้การปกครองถึง 43 แคว้น รวมทั้งตรังกานู และกลันตันด้วย”[5]

ในสมัยรายาฮีเยา การติดต่อค้าขายกับต่างชาติเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือสินค้าเข้ามาเทียบท่าอย่างไม่ขาดสาย และเริ่มการค้ากับฮอลันดา สเปน และอังกฤษเป็นครั้งแรก[6] พระองค์ยังพระราชทานพระขนิษฐาอูงูแก่สุลต่านแคว้นปะหัง เพื่อคานอำนาจกับแคว้นยะโฮร์[7] ต่อมาในสมัยรายาบีรู ปัตตานีและกลันตันรวมตัวกันเป็นสมาพันธรัฐปัตตานี และทรงพระราชทานพระธิดากูนิง ธิดาของพระขนิษฐาอูงูกับสุลต่านแคว้นปะหัง แก่ออกญาเดชา หรือออกญาศรีราชเดชไชยท้ายน้ำอะไภยพิรียปรากรมภาหุท้ายน้ำ เป็นเจ้ากรมอาสาหกฝ่ายซ้ายและเป็นบุตรเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช

แต่หลังจากรายาบีรูสวรรคตในปี 2167 รายาอูงูซึ่งเสด็จกลับมาจากปะหังก็ตัดสัมพันธ์กับอยุธยา ทรงยุติการส่งบรรณาการแด่อยุธยา จึงเกิดข้อพิพาทครั้งใหญ่ในภูมิภาคคาบสมุทรมลายู ด้วยการที่พระองค์ทรงนำกำลังภายใต้บังคับบัญชาของพระองค์เองยกทัพตีเมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราช พระนางยังให้พระธิดากูนิง ที่ครั้งหนึ่งในรัชสมัยรายาบีรูเคยหมั้นหมายกับออกญาเดชาไว้ถูกถอดถอน โดยการให้รายากูนิงอภิเษกสมรสกับสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์แทน[8] และการปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้ของรายาอูงู ราชินีแห่งอาณาจักรปัตตานี สตรีผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในคาบสมุทรมลายู ได้แสดงแสนยานุภาพทางทหารของพระองค์ รวมกับกองกำลังผสมจากต่างชาติภายใต้บังคับบัญชาของ Christoph Carl Fernberger จึงทำให้การสงครามจบลงโดยการลงนามสนธิสัญญาสงบศึกเพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างปัตตานีกับอยุธยา พิธีการให้คำสัตยาบันในการลงนามข้อตกลงครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่หมู่บ้านเปียนในเขตหัวเมืองจะนะ หรือ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลาในปัจจุบัน. ซึ่งรายละเอียดข้อตกลงในการลงนามสนธิสัญญาครั้งนี้มีด้วยกันห้าประการ ตัวอย่างบางข้อเช่น "ข้อที่สอง - กษัตริย์แห่งสยามจะทรงไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อราชอาณาจักรปัตตานีอีกต่อไป" โดยในข้อนี้จะเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นรัฐเอกราชที่มีอำนาจปกครองตนเองเป็นเอกเทศอย่างเป็นรูปธรรม และมีอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรปัตตานีที่ถูกต้องชัดเจน[9] ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองพยายามทรงส่งกองทัพเข้าโจมตีเมืองปัตตานีในปี พ.ศ. 2177 แต่ไม่อาจเอาชนะได้[10] เมื่อถึงปี พ.ศ. 2178 รายาอูงูเสด็จสวรรคต.

แผนที่อ่าวสยาม สำรวจโดย Isaac de Graaff ที่แสดงถึงตำแหน่งของปาตานี (ด้านล่างสุด)

รัตนโกสินทร์

ปืนใหญ่พญาตานี (ชื่อเดิม: ศรีปัตตานี) ซึ่งกองทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้นำมาไว้ที่กรุงเทพฯ เมื่อครั้งสยามยกทัพไปตีเมืองปัตตานีสำเร็จใน พ.ศ. 2329"บุหงามาศ" (bunga mas) หรือ ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง บรรณาการแด่สยาม

ในปี พ.ศ. 2329 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงยกทัพตีเมืองปัตตานีไว้ได้ ปัตตานีจึงเป็นประเทศราชของสยามตั้งแต่นั้นมา กองทัพสยามยึดเอาทรัพย์สมบัติและปืนใหญ่ที่หล่อในสมัยรายาบีรูไป 3 กระบอก แต่เหลือมาถึงกรุงเทพเพียง 1 กระบอก คือปืนใหญ่พญาตานี ปัจจุบันอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม[11] ความไม่พอใจต่อการปกครองของชาวสยาม ก่อให้เกิดกบฏครั้งใหญ่ 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2334 และ พ.ศ. 2351 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงแยกอาณาจักรปัตตานีเป็น 7 หัวเมือง[12] และในปี พ.ศ. 2374 และ พ.ศ. 2381 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระทัยให้ราชวงศ์กลันตันปกครองปัตตานีต่อมา[4] กระทั่งปีพ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเตรียมการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล การปกครองโดยราชวงศ์กลันตันจึงยุติลง และถือเป็นปีสิ้นสุดของอาณาจักรปัตตานี ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยามโดยสมบูรณ์ มณฑลปัตตานีก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2449 แต่ถึงปีพ.ศ. 2466 ชาวบ้านจำนวนมากก็ออกมาชุมนุมประท้วงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงออกพระบรมราโชบายสำหรับมณฑลปัตตานี เมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ไว้ 6 ข้อเพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่และข้าราชการ[13] และนำไปสู่การยุบมณฑลปัตตานีเป็น 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จนถึงทุกวันนี้

แต่ถึงกระนั้นยังคงมีการชุมนุมประท้วงการปกครองจากรัฐบาลอยู่เสมอ เช่น พ.ศ. 2482 จอมพลแปลก พิบูลสงครามได้จัดตั้งสภาวัฒนธรรม บังคับให้ประชาชนสวมหมวก แต่งกายแบบไทย ทำตามวัฒนธรรมไทย ห้ามพูดภาษามลายู ฯลฯ รวมกับการกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐจนลุกลามไปเป็นกบฏดุซงญอในพ.ศ. 2491 มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คน ตามมาด้วยการชุมนุมยืดเยื้อกว่า 45 วันของชาวจังหวัดปัตตานีนับแสนคนที่หน้ามัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ในปีพ.ศ. 2518 หลังจากการวิสามัญฆาตกรรมชาวบ้าน 5 ศพ นำไปสู่เหตุวุ่นวายที่มีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 12 ราย[14] และการประท้วงของชาวบ้านกว่า 3 หมื่นคน ใน พ.ศ. 2528 เมื่อกระทรวงศึกษาธิการออกคำสั่งให้ประดิษฐานพระพุทธรูปในโรงเรียน และอีก 3 ปีต่อมาก็ออกคำสั่งห้ามคลุมศีรษะ (ฮิญาบ) เข้าสถานศึกษา หรือกรณีมัสยิดกรือเซะ ที่มีผู้เสียชีวิต 107 คน และเหตุการณ์ตากใบ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอีกกว่า 84 คน ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีการยักยอกปืนของหลวงเพื่อใช้ก่อความไม่สงบ

ใกล้เคียง

อาณาจักรอยุธยา อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) อาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรธนบุรี อาณาจักรพระนคร อาณาจักรปตานี อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรฟูนาน

แหล่งที่มา

WikiPedia: อาณาจักรปตานี http://www.oknation.net/blog/print.php?id=628571 http://www.kananurak.com/mcontents/marticle.php?Nt... http://atcloud.com/stories/23146 http://webhost.m-culture.go.th/province/pattani/PD... http://www.oknation.net/blog/print.php?id=659130 http://www.geocities.ws/prawat_patani/patanilupa_t... http://www.peace.mahidol.ac.th/th/doc/separatist%2... http://haab.catholic.or.th/article/articleart1/art... http://www.fatonionline.com/4524 http://books.google.com/books/about/Muslim_Separat...