ข้อโต้แย้ง ของ อาร์คีออปเทอริกซ์

ความถูกต้อง

เริ่มต้นในปี 1985 มีคณะบุคคลหนึ่งประกอบด้วยนักดาราศาสตร์ Fred Hoyle และนักฟิสิกส์ Lee Spetner ได้ตีพิมพ์ผลงานออกมาชุดหนึ่งอ้างว่าแพนขนจากตัวอย่างของ “อาร์คีออปเทอริกซ์”ที่เบอร์ลินและลอนดอนนั้นถูกปลอมแปลงขึ้น[47][48][49][50]โดยคำกล่าวอ้างของเขาทั้งสองนั้นถูกปฏิเสธโดย Alan J. Charig และคณะที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติบริติช [51] โดยหลักฐานทั้งหมดสำหรับการปลอมแปลงอยู่บนพื้นฐานของความไม่รอบรู้ในกระบวนการกลายเป็นหิน ตัวอย่างเช่น พวกเขาให้ความเห็นว่าวัตถุที่มีขนอยู่นั้นมีลักษณะเนื้อที่แตกต่างกัน กล่าวคือการประทับของแพนขนกระทำขึ้นบนแผ่นซีเมนต์บางๆ[48] โดยไม่ได้ตระหนักว่าแพนขนเองนั้นจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างของเนื้อวัตถุ[51]พวกเขายังกล่าวอย่างไม่เชื่ออีกด้วยว่าแผ่นหินควรจะฉีกออกอย่างนุ่มนวล หรือครึ่งหนึ่งของแผ่นหินที่มีฟอสซิลอยู่ควรจะอยู่ในสภาพที่ดี[47][49] เป็นคุณสมบัติทั่วไปของฟอสซิลโซลน์ฮอเฟนเพราะว่าสัตว์ที่ตายจะล้มลงบนพื้นผิวที่แข็งซึ่งจะเกิดเป็นระนาบธรรมชาติสำหรับแผ่นหินต่อไปในอนาคตที่จะผลิฉีกออกไปตามระนาบ เกิดเป็นฟอสซิลอยู่ทางด้านหนึ่งและพบเพียงเล็กน้อยอีกด้านหนึ่ง[51]พวกเขายังตีความฟอสซิลผิดพลาดอีกด้วยโดยอ้างว่าหางที่ถูกปลอมแปลงขึ้นนั้นเป็นแพนขนขนาดใหญ่อันหนึ่ง[48][51]นอกจากนี้พวกเขายังอ้างอีกว่าชิ้นตัวอย่างอื่นๆของ “อาร์คีออปเทอริกซ์” ที่รู้จักกันในช่วงนั้นไม่มีขน[47][48]ซึ่งไม่เป็นความจริง ชิ้นตัวอย่างแม๊กเบิร์กและ Eichstätt นั้นเห็นขนได้อย่างชัดเจน[51] ท้ายสุด แรงจูงใจที่พวกเขานำเสนอว่าเป็นการปลอมแปลงขึ้นนั้นไม่หนักแน่นเพียงพอและมีข้อโต้แย้ง สิ่งหนึ่งคือ Richard Owen ต้องการที่จะสร้างหลักฐานเท็จเพื่อต้องการสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินซึ่งก็ไม่น่าจะทำให้มุมมองของ Owen ที่มีต่อดาร์วินและทฤษฎีของเขาเอง อีกอันหนึ่งคือ Owen ต้องการสร้างกับดักสำหรับดาร์วินด้วยหวังว่าต่อจากนั้นจะสนับสนุนฟอสซิลดังนั้น Owen จะสามารถทำให้ดาร์วินเสียความน่าเชื่อถือด้วยหลักฐานปลอม นี้ก็ไม่น่าเป็นไปได้ด้วยอีก ด้วย Owen เองนั้นเขียนผลงานเกี่ยวกับชิ้นตัวอย่างลอนดอนอย่างละเอียด การกระทำทั้งหลายควรจะส่งผลในทางตรงกันข้ามอย่างแน่นอน[52]

Charig และคณะชี้ให้เห็นถึงการปรากฏของรอยร้าวขนาดเส้นขนในแผ่นหินที่เกิดขึ้นตลอดทั้งในส่วนเนื้อหินและในส่วนซากเหลือประทับของฟอสซิล และการเติบโตของแร่บนแผ่นหินที่เกิดขึ้นก่อนการค้นพบและก่อนการเตรียมตัวอย่างซึ่งเป็นหลักฐานว่าแพนขนนั้นเป็นของแท้ต้นตำรับ[51]Spetner และคณะมีความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่ารอยร้าวควรจะแผ่ผ่านไปตลอดแผ่นที่ทึกทักเอาว่าเป็นแผ่นซีเมนต์[53] แต่ไม่ต้องไปใส่ใจในความจริงที่ว่ารอยร้าวเหล่านั้นเก่าแก่และถูกแทนที่ด้วยแร่แคลไซต์และนั่นก็จะไม่สามารถแตกแผ่ขยายออกไปได้[52] พวกเขายังพยายามที่จะแสดงการปรากฏของซีเมนต์บนชิ้นตัวอย่างลอนดอนโดยใช้ X-ray spectroscopy และหาบางสิ่งที่จะบ่งชี้ว่าไม่ใช่หิน[53] อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ซีเมนต์ และอาจจะมาจากเศษของยางซิลิโคนที่ตกเหลือจากการหล่อชิ้นตัวอย่าง[52]ข้อเสนอแนะทั้งหลายไม่ได้ทำให้นักบรรพชีวินวิทยากังวลใจและหวั่นไหวด้วยหลักฐานทั้งหลายของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐานของการเข้าใจผิดๆทางธรณีวิทยา และพวกเขาไม่เคยใส่ใจในลักษณะอื่นๆที่รองรับชิ้นตัวอย่างอยู่เลยซึ่งนับวันจะมีจำนวนมากขึ้น ตั้งแต่นั้นมา Charig และคณะได้รายงานการเปลี่ยนสี-แถบสีเข้มแนวหนึ่งระหว่างชั้นหินปูนสองชั้น อย่างไรก็ตามพวกเขากล่าวว่ามันเป็นผลมาจากกระบวนการตกสะสมตะกอน[51] มันเป็นธรรมชาติของหินปูนจะนำสีมาจากสิ่งแวดล้อมรอบข้างและหินปูนทั้งหมดเปลี่ยนสีได้ (ถ้าไม่ใช่แถบสี) ในระดับหนึ่ง[54]- สีเข้มเป็นผลมาจากมลทินทั้งหลาย

อาร์คีออปเทอริกซ์และโปรโตเอวิส

ในปี ค.ศ. 1984 ซังการ์ จัตเตอร์จี (Sankar Chatterjee) ได้ค้นพบฟอสซิลซึ่งในปี ค.ศ. 1991 เขาอ้างว่าเป็นฟอสซิลของนกที่มีอายุเก่าแก่กว่าอาร์คีออปเทอริกซ์ เชื่อกันว่าฟอสซิลนี้มีอายุราว 210 ถึง 225 ล้านปีและได้ตั้งชื่อว่า โปรโตเอวิส (Protoavis) [55] ฟอสซิลมีสภาพการเก็บรักษาโดยธรรมชาติที่แย่เกินไปที่จะประมาณการความสามารถในการบินได้ แม้ว่าจากการสร้างขึ้นมาใหม่ของจัตเตอร์จีจะแสดงถึงว่ามีขน(นก)อยู่ด้วยก็ตาม นักบรรพชีวินวิทยาหลายคนซึ่งรวมถึง พอล (Paul, 2002) และ วิสเมอร์ (Witmer, 2002) ได้ปฏิเสธถึงการกล่าวอ้างว่าโปรโตเอวิสเป็นนกรุ่นแรกๆ (หรือ ไม่ยอมรับการมีตัวตน)[31][56] ฟอสซิลถูกพบในสภาพที่ชิ้นส่วนหลุดออกจากกันกระจัดกระจาย และถูกเก็บได้จากตำแหน่งที่แตกต่างกัน เนื่องจากฟอสซิลมีสภาวะเงื่อนไขที่เลว อาร์คีออปเทอริกซ์จึงยังคงเป็นนกที่ถูกจัดให้เป็นนกรุ่นแรกสุด[57]

ตำแหน่งทางวิวัฒนาการชาติพันธุ์

บรรพชีวินวิทยาสมัยใหม่ได้จัดวาง “อาร์คีออปเทอริกซ์” อย่างเห็นคล้อยกันว่าเป็นนกที่เก่าแก่โบราณที่สุด ทั้งนี้ไม่ได้คิดว่ามันเป็นบรรพบุรุษที่แท้จริงของนกปัจจุบันแต่เป็นญาติที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับบรรพบุรุษนั้น (ดู Avialae และ Aves)[58] กระนั้นก็ตามบ่อยครั้งที่ “อาร์คีออปเทอริกซ์” ถูกใช้เป็นต้นแบบของนกที่เป็นบรรพบุรุษจริงๆซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการนอกรีตหากคิดเป็นอย่างอื่น แต่ก็มีผู้คิดดังกล่าวไม่น้อย[56] Lowe (1935)[59]และ Thulborn (1984)[60] ได้ตั้งคำถามว่า “อาร์คีออปเทอริกซ์” เป็นนกรุ่นแรกๆจริงหรือเปล่า พวกเขาให้ความเห็นว่า “อาร์คีออปเทอริกซ์” เป็นไดโนเสาร์ชนิดหนึ่งที่ไม่มีความใกล้ชิดกับนกมากไปกว่าไดโนเสาร์กลุ่มอื่นๆ Kurzanov (1987) ให้ความเห็นว่า Avimimus ดูเหมือนจะเป็นบรรพบุรุษของนกทั้งหลายมากกว่า “อาร์คีออปเทอริกซ์” เสียอีก[61] Barsbold (1983)[62]และ Zweers and Van den Berge (1997)[63]ให้ข้อสังเกตว่าสายพันธุ์ของ maniraptora จำนวนมากมีลักษณะที่คล้ายนกเอามากๆและได้ชี้แนะว่ากลุ่มของนกที่แตกต่างกันอาจจะสืบทอดมาจากบรรพบุรุษไดโนเสาร์ที่แตกต่างกันด้วย

ใกล้เคียง

อาร์ค อาร์คิมิดีส อาร์คีออปเทอริกซ์ อาร์ชดยุกรูดอล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี อาร์คา (นักดนตรี) อาร์คัมฮอเรอร์ อาร์ชดัชเชสเอลิซาเบธ มารีแห่งออสเตรีย อาร์กเดอะแลด: ทไวไลท์ออฟเดอะสปีริท อาร์ชดัชเชสจิเซลาแห่งออสเตรีย อาร์คิแคด

แหล่งที่มา

WikiPedia: อาร์คีออปเทอริกซ์ http://www.ucalgary.ca/~longrich/archaeopteryx.htm... http://www.dinosauria.com/jdp/archie/archie.htm http://www.dinosauria.com/jdp/jdp.htm http://books.google.com/books?id=6RAFAAAAQAAJ&pg=P... http://encarta.msn.com/encyclopedia_761565838/lime... http://news.nationalgeographic.com/news/2005/12/12... http://news.nationalgeographic.com/news/2005/12/12... http://www.nature.com/nature/journal/v430/n7000/su... http://www.newscientist.com/article/mg18224432.300... http://www.readprint.com/chapter-2217/Charles-Darw...