โรค
อีสุกอีใส (
อังกฤษ: chickenpox, varicella) เป็น
โรคติดเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายมากโรคหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อ
ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (VZV)
[3] ทำให้ผู้ป่วยมี
ผื่นซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือเป็น
ตุ่มพองน้ำขนาดเล็ก มีอาการ
คัน และแตกแห้งเป็นสะเก็ดในเวลาต่อมา
[1] ส่วนใหญ่เริ่มเป็นที่บริเวณหน้าอก หลัง และใบหน้า ต่อมาจึงกระจายไปทั่วตัว
[1] ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นร่วมด้วยได้แก่
ไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ[1] ส่วนใหญ่เป็นอยู่ 5-7 วัน
[1] ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ได้แก่
ปอดอักเสบ สมองอักเสบ หรือติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนที่รอยผื่น
[6] เป็นต้น หากเป็นในผู้ใหญ่มักมีอาการรุนแรงกว่าที่เป็นในเด็ก
[7] อาการเหล่านี้มักเริ่มมีขึ้นประมาณ 10-21 วัน
หลังได้รับเชื้อ[2]เชื้อไวรัสนี้
ติดต่อทางอากาศ โดยออกมากับละอองจากการ
ไอหรือ
จามของผู้ป่วย
[2] ซึ่งอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนเริ่มมีผื่น และสามารถแพร่เชื้อไปได้เรื่อยๆ จนกว่าแผลผื่นจะตกสะเก็ดแห้งและหลุดออกจนหมด
[2] นอกจากนี้ยังอาจติดต่อผ่านการสัมผัสตุ่มน้ำได้ด้วย
[2] ผู้ป่วย
โรคงูสวัดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเดียวกันอาจแพร่เชื้อนี้ให้กับผู้อื่นที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้ผู้รับเชื้อป่วยด้วยโรคอีสุกอีใสได้
[2] การวินิจฉัยทำได้โดยดูจาก
ประวัติและ
ผลการตรวจร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยจะมี
อาการและ
อาการแสดงเป็นผื่นลักษณะเฉพาะดังกล่าว
[8] ในบางรายที่อาการไม่ชัดเจนอาจจำเป็นต้องตรวจด้วยการนำสารน้ำจากตุ่มน้ำหรือจากสะเก็ดไปตรวจหา
พันธุกรรมเชื้อไวรัสด้วยวิธี
พีซีอาร์[7] นอกจากนี้การตรวจหา
แอนติบอดียังช่วยบอกได้ว่าผู้รับการตรวจนั้นมีภูมิหรือไม่มีภูมิต่อเชื้อนี้
[7] ผู้ป่วยจำนวนมากหลังหายจากอีสุกอีใสแล้วมักไม่เป็นอีก
[2] หากได้รับเชื้อนี้ซ้ำมักไม่ทำให้เกิดอาการใดๆ
[9]ปัจจุบันมีการผลิต
วัคซีนโรคอีสุกอีใสออกใช้ได้ทั่วไป ทำให้จำนวนผู้ป่วยและอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ลดลงมาก
[4] ผู้รับวัคซีน 70-90% จะไม่เป็นโรค และหากเป็นโรคก็ลดความรุนแรงของโรคลงได้มาก
[7] หลายประเทศเริ่มกำหนดให้วัคซีนนี้เป็นวัคซีนมาตรฐานที่ทางรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้
[10] นอกจากนี้แม้จะไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หากผู้รับเชื้อซึ่งเป็นเด็กได้รับวัคซีนภายใน 3 วันก็ยังมีประโยชน์ช่วยลดการเกิดโรคและลดอาการได้
[11] การรักษาส่วนใหญ่เป็นการบรรเทาอาการ เช่นการใช้โลชั่น
คาลาไมน์เพื่อบรรเทาอาการคัน ตัดเล็บให้สั้นเพื่อไม่ให้เกาผื่นจนเกิดแผล และใช้
พาราเซตามอลเพื่อ
ลดไข้[2] ในบางรายที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องให้
ยาต้านไวรัสเช่น
อะไซโคลเวียร์[2]อีสุกอีใสเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก
[7] ในปี พ.ศ. 2556 มีรายงานผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสและงูสวัดทั่วโลกราว 140 ล้านคน
[12] ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีวัคซีนพบว่าจำนวนผู้ป่วยต่อมีมีจำนวนใกล้เคียงกับจำนวนคนเกิดต่อปี
[7] บ่งชี้ว่าคนแทบทุกคนจะต้องป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส ต่อมาหลังจากมีการใช้วัคซีนเป็นมาตรฐานในสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้ป่วยก็ลดลงเกือบ 90%
[7] ข้อมูลปี พ.ศ. 2558 พบว่าโรคอีสุกอีใสทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 6,400 คนทั่วโลก ซึ่งลดลงจากข้อมูลปี พ.ศ. 2533 ที่พบว่ามีสูงถึง 8,900 คน
[5][13] อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 1 ต่อ 60,000
[7] สมัยก่อนเคยเชื่อกันว่าโรคนี้เป็นโรคเดียวกันกับ
โรคฝีดาษ จนถึงคริสตศตวรรษที่ 19 จึงพบว่าเป็นคนละโรค
[7] และค้นพบต่อมาว่าโรคนี้สัมพันธ์กับโรคงูสวัดเมื่อ พ.ศ. 2431
[7] ชื่อภาษาอังกฤษของโรคนี้คือ chickenpox มีการพูดถึงครั้งแรกใน พ.ศ. 2201
[14] มีความพยายามอธิบายที่มาของการใช้คำว่า chicken ในชื่อโรค ที่มาหนึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะโรคนี้เป็นโรคที่ค่อนข้างมีความรุนแรงต่ำเมื่อเทียบกับโรคฝีชนิดอื่นๆ
[14]