เมนูนำทาง
เจ็มไฟโบรซิล ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ยาควรใช้เจ็มไฟโบรซิลด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยต่อไปนี้:[14]
ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) เป็นอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้รับประทานเจ็มไฟโบรวิล ในการศึกษาแบบปกปิดทั้งสองด้าน, มีกลุ่มควบคุม-ทดลอง (double-blind, placebo-controlled trial) ที่มีชื่อว่า Helsinki study พบอุบัติการณ์การเกิดผื่นผิวหนังอักเสบในกลุ่มผู้ที่ใช้เจ็มไฟโบรซิลประมาณ 1.9% เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ที่เกิดความผิดปกติดังกล่าวได้ 1.2% ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างกันจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติ[15] นอกจากนี้แล้ว ยังมีรายงานการเกิดกล้ามเนื้ออักเสบร่วมกับผิวหนังอักเสบ (dermatomyositis/polymyositis) ในผู้ป่วยหญิงสูงอายุรายหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูงด้วยเจ็มไฟโบรซิล โดยผู้ป่วยมีอาการผิวหนังเป็นสะเก็ด, เกิดผื่นคัน, จ้ำผื่นสีม่วง, มีอาการอ่อนแรงมากขึ้น และมีระดับ Creatinin kinase (CPK) เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากหยุดการใช้เจ็มไฟโบรซิล และให้การรักษาความผิดปกติดังกล่าวด้วยยาสเตียรอยด์ พบว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาดี และหายจาดได้ในที่สุด[18]
ส่วนการเกิดผื่นผิวหนังธรรมดา (Rash) ในการศึกษาดังกล่าว พบอุบัติการณ์การเกิดในผู้ที่ได้รับเจ็มไฟโบรซิลประมาณ 1.7% เปรียบทับกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่เกิดความผิดปกติดังกล่าว 1.3% ซึ่งไม่ได้มีความแตกต่างกันจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติแต่อย่างใด[15]
การศึกษาในผู้ป่วยไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานจำนวน 24 คน พบว่า เจ็มไฟโบรซิลไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลและระดับอินซูลินในกระแสเลือดของผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว[19] ในทางตรงกันข้าม มีรายงานจากอีกการศึกษาหนึ่งที่พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylurea) ที่มีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเฉลี่ยสูงกว่า 9 มิลลิโมลต่อลิตร (กลุ่มที่ควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือดได้ไม่ดี) มีระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อได้รับการรักษาด้วยเจ็มไฟโบรซิล 600-1200 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี กลับพบว่าการใช้เจ็มไฟโบรซิลในขนาดดังกล่าวทำให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นจาก 9.2 มิลลิโมลต่อลิตร เป็น 11.7 มิลลิโมลต่อลิตร[20]
นอกจากนี้แล้ว ยังมีการศึกษาทางคลินิกอีก 2 การศึกษาที่ให้ผลสอดคล้องกับการศึกษาดังข้างต้น โดยพบว่า การใช้เจ็มไฟโบรซิลในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงมีผลลดภาวะทนต่อต่อการเพิ่มของกลูโคสในกระแสเลือดไม่ได้ (glucose intolerance) และลดระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (fasting blood glucose) ในขณะที่ผลดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ[21] เช่นเดียวกับการศึกษาของ Pagani A. และคณะ ที่พบว่าการใช้เจ็มไฟโบรซิลไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวใช้ระยะเวลาในการศึกษาเพียง 15 วันเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลของเจ็มไฟโบรซิลต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือดในระยะยาว[22]
มีรายงานการเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงที่รุนแรงจนถึงระดับที่ต้องทำการช่วยชีวิต (Life-threatening hyperkalemia) ร่วมกับการเกิดการสลายของกล้ามเนื้อแบบ rhabdomyolysis ในผู้ป่วยสูงอายุเพศหญิงที่เป็นโรคเบาหวานร่วมกับการมีระดับไขมันในเลือดสูง โดยหลังจากผู้ป่วยได้รับเจ็มไฟโบรซิลร่วมกับเซอริวาสแตตินเป็นเวลา 3 วัน ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บแน่นหน้าอกและปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติพบว่าระดับโพแทสเซียมในกระแสเลือดสูง, ปริมาณยูเรียและไนโตรเจนในเลือดสูง, ระดับครีทินินในเลือด (serum creatinine) สูง, และครีทินินไคเนส (creatine kinase)สูง ทำให้ผู้ป่วยรายนี้ต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลินและกลูโคสร่วมกับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (hemodialysis) อย่างเร่งด่วน หลังจากการรักษาพบว่าระดับโพแทสเซียมในกระแสเลือดของผู้ป่วยและผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นปกติ แต่ผู้ป่วยยังจำเป็นต้องได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมต่อเนื่องอีกเป็นระยะเวลา 7 วัน จากความผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยรายนี้ ผู้ทำการศึกษาคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่ผู้ป่วยได้รับเซอริวาสแตตินร่วมกับเจ็มไฟโบรซิล[23]
อาการไม่พึงประสงค์ของเจ็มไฟโบรซิลค่อระบบทางเดินอาหารที่พบได้บ่อย คือ อาการปวดท้อง และอาการท้องเสีย ในการศึกษาแบบปกปิดทั้งสองด้าน, มีกลุ่มควบคุม-ทดลอง (double-blind, placebo-controlled trial) ที่มีชื่อว่า Helsinki study พบอุบัติการณ์การเกิดอาการปวดท้องและท้องเสียในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเจ็มไฟโบรซิลประมาณร้อยละ 9.8 และ 7.5 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาหลอก ที่เกิดความผิดปกติดังกล่าวเพียงร้อยละ 5.6 และ 6.5 ลำดับ ซึ่งมีเฉพาะอาการปวดท้องเท่านั้นที่พบว่าความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มที่ได้รับการรักษาแตกต่างกัน [15]
ส่วนอาการข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน โดยในการศึกษาเดียวกันกับการศึกษาดังข้างต้น พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเจ็มไฟโบรซิลมีอุบัติการณ์การเกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันมากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่นเดียวกันกับการเกิดถุงน้ำดีอักเสบ (Cholecystitis) และนิ่วในถุงน้ำดี (Cholelithiasis) ที่พบอุบัติการณ์การเกิดในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเจ็มไฟโบรซิลสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอกประมาณ 2 เท่า [15]
อาการข้างเคียงที่รุนแรงของเจ็มไฟโบรซิลต่อระบบโลหิตที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ การอักเสบของทางเดินอาหารเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอีโอสิโนฟิลล์ (Eosinophilic gastroenteritis) ซึ่งพบรายงานการเกิดความผิดปกติดังกล่าวในผู้ป่วยหญิงสูงอายุที่ได้รับการรักษาภาวะไขมันในกระแสเลือดสูงด้วยเจ็มไฟโบรซิลแล้วเกิดปฏิกิริยาการแพ้ยาหลังจากรับประทานยาได้ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำร่วมกับอาการปวดเกร็งช่องท้อง อาการของโรครุนแรงขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนทำให้ผู้ป่วยรายนี้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis), หอบหืด (asthma), เก๊าต์, และโรคเบาหวาน ขณะเข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการซีดและขาดน้ำ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่าผู้ป่วยมีระดับอีโอสิโนฟิลล์เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
ไฟล์:SaudiJGastroenterol 2007 13 2 91 32185 1.jpgภาพที่ได้จากการการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Endoscopy) ในผู้ป่วยที่เกิดการอักเสบของทางเดินอาหารที่มีสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของอีโอสิโนฟิลล์ (Eosinophilic gastroenteritis)การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Endoscopy) ในผู้ป่วยรายดังกล่าวพบรอยพับบริเวณกระเพาะอาหารส่วนเอนทรัมอย่างเด่นชัด (antral folds), พบติ่งเนื้อที่กระเพาะอาหาร (gastric polyp), พบความเป็น granularity ของเยื่อบุลำไส้เล็กส่วนต้นและส่วนกลางได้อย่างชัดเจน ผลการตรวจชิ้นเนื้อทั้งจากระบบทางเดินอาหารส่วนบนและส่วนล่างพบว่าอีโอสิโนฟิลล์ในเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหารส่วนเอนทรัม, ลำไส้เล็กส่วนต้น, ลำไส้ใหญ่ส่วนขึ้น (ascending colon), ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง (transverse colon) และลำไส้ตรง (rectum) ในปริมาณมาก จากผลการตรวจดังกล่าว ได้มีการสั่งหยุดการใช้เจ็มไฟโบรซิลในผู้ป่วยรายนี้ หลังจากที่ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ ได้มีการทดลองใช้ยาเจ็มไฟโบรซิลซ้ำ (echallenged) พบว่าผู้ป่วยกลับมีอาการท้องเสียและมีการเพิ่มขึ้นของอีโอสิโนฟิลล์เช่นเดิม จึงพิจารณาหยุดการใช้เจ็มไฟโบรซิลในผู้ป่วยรายนี้ [24]
การเพิ่มขึ้นของไฟบริโนเจน (Fibrinogen) เป็นอาการข้างเคียงจากเจ้มไฟโบรวิลอีกอย่างหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ ข้อมูลจากการศึกษาในผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงที่ได้รับการรักษาด้วยเจ็มไฟโบรซิลและมีภาวะการแข็งตัวของเลือดเป็นปรกติ พบว่า ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีระดับไฟบริโนเจนในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 17.6 จึงพอจะอนุมานได้ว่า การใช้เจ็มไฟโบรซิลอาจจะมีประโยชน์ในการป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ[25] ส่วนการมีจำนวนเม็ดเลือดแดงและ/หรือเม็ดเลือดขาวผิดปกติที่เป็นผลมาจากเจ็มไฟโบรซิลนั้น ผลศึกษาทางคลินิกไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการใช้เจ็มไฟโบรซิลต่อเนื่องในระยะยาวกับการเกิดความผิดปกติดังกล่าว[26] อย่างไรก็ตาม การลดลงของฮีโมโกลบิน, ฮีมาโทคริต, และเม็ดเลือดขาว อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงแรกของการรับประทานเจ็มไฟโบรซิล จึงควรมีการติดตามค่าพารามิเตอร์ที่เกี่ยวเนื่องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปีแรกของการเริ่มใช้เจ็มไฟโบรซิล ถึงแม้ว่าอุบัติการณ์การเกิดจะน้อยมากก็ตาม[15][25]
การใช้เจ็มไฟโบรซิลอาจมีผลทำให้ระดับเอนไซม์ของตับ เช่น SGOT (AST), SGPT (ALT), LDH, bilirubin, lactate dehydrogenase, และ alkaline phosphatase เพิ่มสูงขึ้นได้ โดยทั่วไปแล้ว ค่าเหล่านี้จะกลับเข้าสู่ระดับปกติได้เองเมื่อมีการหยุดใช้ยา อย่างไรก็ตาม หากค่าดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากอย่างต่อเนื่อง ควรพิจารณาหยุดการใช้ยานี้[15]
กล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการเหนี่ยวนำของยา (Drug-induced myopathy) เป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดได้ในผู้ที่อยู่ระหว่างการรับประทานเจ็มไฟโบรซิล โดยมีรายงานการเกิดโรคกล้ามเนื้ออักเสบ (myositis) จากการมีความดันในช่องกล้ามเนื้อสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน (acute compartment syndrome) ในผู้ป่วยที่ได้รับเจ็มไฟโบรซิล 1200 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ จากนั้น[27] นอกจากนี้ยังมีรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการเหนี่ยวนำของเจ็มไฟโบรซิล (gemfibrozil-induced myopathy) ในผู้ป่วยชายอายุ 52 ปีที่ได้รับเจ็มไฟโบรซิลในขนาด 1200 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 3 ปี โดยผู้ป่วยมีอาการปวดอย่างเฉียบพลันที่บริเวณส่วนล่างของกล้ามเนื้อขา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติพบว่าค่าครีทินินไคเนส (creatine kinase) เท่ากับ 590 หน่วยต่อลิตร (ค่าปกติ 32-230 หน่วยต่อลิตร) ผู้ป่วยไม่มีอาการของภาวะกล้ามเนื้อสลายชนิด Rhabdomyolysis หลังจากการหยุดยาจนอาการดีขึ้น แล้วให้ยาซ้ำ (drug rechallenge) พบว่าผู้ป่วยกลับมามีอาการผิดปกติเช่นเดิม ทำให้ต้องมีการหยุดการใช้ยาเจ็มไฟโบรซิลในผู้ป่วยรายนี้[28]
นอกจากนี้แล้ว เจ็มไฟโบรซิลยังสามารถก่อให้เกิดอาการข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อที่รุนแรงได้ เรียกว่า ภาวะกล้ามเนื้อสลายชนิด Rhabdomyolysis ซึ่งพบรายงานการเกิดความผิดปกติดังกล่าวร่วมกับภาวะไตวายเฉียบพลันในผู้ป่วยที่ได้รับเจ็มไฟโบรซิลในขนาด 1200 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในกรณีที่ใช้และไม่ใช้ยาลดไขมันกลุ่มสแตตินร่วมด้วย อาการที่พบได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรงและหดเกร็ง สูญเสียความสามารถในการเดิน ปัสสาวะสีน้ำตาลคล้ำ โดยการใช้ยาลดไขมันกลุ่มสแตตินร่วมกับเจ็มไฟโบรซิลจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกตินี้ได้มากยิ่งขึ้น[29][30][31][32][33]
มีรายงานจากศูนย์เฝ้าระวังและติดตามการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาแห่งประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand Centre of Adverse Reactions Monitoring; CARM) ว่าพบการเกิดความผิดปกติทางจิตที่มีความสัมพันธ์กับการได้รับกรดไฟบริค (fibric acid หรือ fibrates) ในผู้ป่วยจำนวน 77 ราย ประกอบด้วย ความผิดปกติทางอารมณ์ (mood disorders) 23 ราย โดนในจำนวนนี้มีอาการรุนแรง 1 ราย และ 1 รายมีการกลับเป็นซ้ำหลังจากได้รับเจ็มไฟโบรซิลอีกครั้ง, ความผิดปกติเกี่ยวความทรงจำและการเรียนรู้ (cognitive disorders) จำนวน 3 ราย ในจำนวนนี้มีอาการรุนแรง 2 ราย, ความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับ (sleep disorders) จำนวน 12 ราย ในจำนวนนี้มีอาการรุนแรง 4 รายและ 1 รายมีการกลับเป็นซ้ำหลังจากได้รับเจ็มไฟโบรซิลอีกครั้ง, ความผิดปกติของระบบประสาทรับสัมผัส (perception disorders) จำนวน 2 ราย โดยมีอาการรุนแรงทั้ง 2 ราย, และความผิดปกติอื่นๆอีก 49 ราย ในจำนวนนี้มีอาการรุนแรง 3 ราย [34]
เมื่อเปรียบเทียบความเป็นพิษต่อไต (Nephrotoxicity) ของเจ็มไฟโบรซิลกับยาอื่นในกลุ่มเดียวกัน อย่าง ซิโปรไฟเบรตและฟีโนไฟเบรตแล้ว พบว่าเจ็มไฟโบรซิลมีผลเพิ่มระดับคริทินีนในกระแสเลือด (serum creatinine) ได้น้อยกว่ายาทั้งสองชนิดดังข้างต้น โดยผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยซิโปรไฟเบรตหรือฟีโนไฟเบรตจะมีระดับของคริทินีนในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับค่าคริทินีนในกระแสเลือดพื้นฐานเดิมของผู้ป่วยก่อนได้รับการรักษา (17% และ 12% สำหรับซิโปรไฟเบรตและฟีโนไฟเบรต ตามลำดับ; p value < 0.001 ทั้งสองกลุ่ม) ส่วนเจ็มไฟโบรซิลนั้นเพิ่มค่าพารามิเตอร์ดังกล่าวขึ้นเพียง 6% ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากค่าพื้นฐานเดิมก่อนการรักษาของผู้ป่วยจนถึงระดับที่มีนัยสำคัญทางสถิติ[35] ส่วนการศึกษาอีกการศึกษาหนึ่งก็ให้ผลไม่แตกต่างกันกับการศึกษาดังข้างต้น [36]
อย่างไรก็ตาม เจ็มไฟโบรซิลสามารถทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้จากการเหนี่ยวนำให้เกิดการสลายของกล้ามเนื้อแบบ rhabdomyolysis โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยที่ใช้เจ้มไฟโบรซิลร่วมกับยาลดไขมันในกระแสเลือดกลุ่มสแตตินจะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติดังกล่าวเพิ่มมากยิ่งขึ้น ภึงแม้จะเป็นการใช้ยาในขนาดปกติก็ตาม[29][30][31][32][33]
เมนูนำทาง
เจ็มไฟโบรซิล ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ยาใกล้เคียง
เจ็มไฟโบรซิล เอ็มไทย เอ็มไทยท็อปทอล์กอะเบาต์ 2014 เร็มไชท์ เอ็มไพร์ส: ดาวน์ออฟเดอะโมเดิร์นเวิลด์ เจ็ทไฟเออร์ (ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส) เอ็มไทยท็อปทอล์กอะเบาต์ 2013 เอ็มไพร์ทาวเวอร์ (กรุงเทพมหานคร) เอ็มไอเอ็ม-104 แพทริออต เจ็มคราฟต์แหล่งที่มา
WikiPedia: เจ็มไฟโบรซิล http://www.ahjonline.com/article/S0002-8703(97)700... http://www.chemspider.com/Chemical-Structure.3345.... http://www.micromedexsolutions.com/micromedex2/lib... http://www.webmd.com/drugs/2/drug-11423/gemfibrozi... http://water.epa.gov/scitech/wastetech/biosolids/t... //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/828263 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1864017 http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC186401... http://www.kegg.jp/entry/D00334 http://www.commonchemistry.org/ChemicalDetail.aspx...