เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (พ.ศ. 2278 – 2348) นามเดิม
สน เป็น
สมุหนายกคนแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นแม่ทัพผู้มีบทบาทใน
สงครามเก้าทัพและ
สงครามตีเมืองทวาย เป็นต้นสกุล"สนธิรัตน์"เจ้าพระยารัตนาพิพิธเกิดเมื่อปีเถาะ พ.ศ. 2278
[1] ในรัชกาล
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เดิมชื่อว่า สน หนังสือของ
ก.ศ.ร. กุหลาบ ระบุว่าเจ้าพระยารัตนาพิพิธเป็นบุตรชายของขุนกำแหง (สุ่น)
[2] กรมการด่านเมือง
สวรรคโลกเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา เจ้าพระยารัตนาพิพิธมีน้องชายซึ่งต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงธรเณนทร์
[3] เจ้าพระยารัตนาพิพิธปรากฏครั้งแรกรับราชการเป็นพระอักษรสุนทร
[1] เสมียนตรากรมมหาดไทยในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาของเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จยกทัพไปตีอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระอักษรสุนทร (สน) ได้ติดตามเสด็จไปด้วยและได้รับเจ้าเชื้อพระวงศ์ลาวชื่อว่าเจ้าสุมณฑา
[3]มาเป็นภรรยา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในพ.ศ. 2325 ทรงแต่งตั้งพระอักษรสุนทร (สน) ขึ้นเป็นเจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายก เป็นสมุหนายกคนแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ดังในคำปรึกษาตั้งข้าราชการว่า "นายสนเป็นข้าใต้ละอองธุลีพระบาท มีความอุตสาหะจงรักภักดี ทำราชการช้านานมา จนเสด็จพระราชดำเนินงานพระราชสงครามแห่งใด ก็ได้โดยเสด็จพระราชดำเนิน ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณต่างพระเนตรพระกรรณทุกครั้งมิได้เว้นว่าง...มีความชอบมาก จะให้ไปพานเมืองครองเมืองอันใหญ่ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าจะไกลใต้ละอองธุลีพระบาทนัก ข้าพเจ้าทั้งปวงขอพระราชทานให้เป็น เจ้าพระยารัตนาพิพิธว่าที่สมุหนายก..."
[1]ใน พ.ศ. 2328
สงครามเก้าทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) ยกทัพฝ่ายพระราชวังหลวง
[4]ไปกับทัพของ
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในการเสด็จไปรบกับทัพพม่าใน
การรบที่ลาดหญ้า และยกทัพตามเสด็จกรมพระราชวังบวรฯอีกครั้งใน
สงครามท่าดินแดงใน พ.ศ. 2329 ร่วมกับพระยากลาโหมราชเสนาและพระยาจ่าแสนยากร เป็นทัพหน้าตั้งค่ายที่สามสบและสามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายไปได้ ต่อมาใน
สงครามตีเมืองทวายใน พ.ศ. 2330 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชโองการให้จัดทัพเข้ายกไปโจมตีเมือง
ทวาย[4]ผ่านทางด่านวังปอ (ทางตำบลปิล็อก
อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี) เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) และ
เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) สมุหกลาโหมเป็นทัพหน้า เจ้าพระยาทั้งสองยกทัพเข้าโจมตีทัพพม่าที่ด่านวังปอ โดยเจ้าพระยารัตนาพิพิธส่งพระยามหาอำมาตย์นำทัพไปก่อน เมื่อพระยามหาอำมาตย์ไม่สามารถยึดด่านวังปอได้ เจ้าพระยารัตนาพิพิธและเจ้าพระยามหาเสนาจึงยกทัพเข้าตีด่านวังปอได้สำเร็จ จากนั้นยึดเมืองกลิอ่องต่อและยกทัพเข้าประชิดเมืองทวาย ฝ่ายไทยไม่สามารถเข้ายึดเมืองทวายได้หลังจากประชิดเมืองอยู่ครึ่งเดือน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯมีพระราชโองการให้เลิกทัพถอยกลับหลังจากได้เมืองทวายแล้ว ใน พ.ศ. 2336 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชดำริ
[4]ที่จะยกทัพล่วงต่อจากเมืองทวายไปยังเขตแดนเมืองพม่าตอนล่าง จึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) และเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) ยกทัพหน้าไปสมทบกับทัพของ
พระยายมราช (บุนนาค) ที่ทวาย ในขณะนั้นเองพระเจ้าปดุงได้ส่งทัพมายึดเมืองทวายคืน เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา และพระยายมราช ตั้งค่ายอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองทวาย ฝ่ายพม่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ชาวเมืองทวายเป็นกบฏลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของไทยและร่วมกับทัพพม่าเข้าโจมตีทัพของไทยทางตะวันออก เสนาบดีทั้งสามไม่สามารถต้านทานทัพพม่าได้ ถอยทัพไปยังค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ ซึ่งเป็นทัพหน้าของทัพหลวง เสนาบดีทั้งสามขอเข้าไปในค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ แต่พระอภัยรณฤทธิ์ปฏิเสธไม่ให้เข้าเกรงว่าหากทัพพม่ายกติดตามเสนาบดีทั้งสามเข้ามาในค่ายและทัพหน้าของพระอภัยรณฤทธิ์แตกพ่ายไป ทัพหลวงจะได้รับอันตราย
[4] เสนาบดีทั้งสามจึงสู้กับพม่าอยู่หน้าค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ เจ้าพระยารัตนาพิพิธและพระยายมราชสามารถรอดมาได้ แต่เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) ถึงแก่อสัญกรรมในที่รบ
[5]เจ้าพระยารัตนาพิพิธถึงแก่อสัญกรรมในพ.ศ. 2348 อายุ 70 ปี ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งใน พ.ศ. 2348 นั้น มีเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ถึงแก่อสัญกรรมถึงสามคน
[1] ได้แก่ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน)
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และ
เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค)เจ้าพระยารัตนาพิพิธ มีบุตรธิดาดังต่อไปนี้;
[6]พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามสกุล "สนธิรัตน์" ให้แก่พระยาวรวิไชยวุฒิกร (เลื่อม สนธิรัตน์)
[7] มาจากคำว่า "สน" ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเจ้าพระยารัตนาพิพิธ และคำว่า "รัตน์" มาจาก
ราชทินนาม "รัตนาพิพิธ" พระยาวรวิไชยวุฒิกร (เลื่อม) เป็นบุตรของพระยาบุริมทิศพิไชย (สุด สนธิรัตน์)
[6] ซึ่งพระยาบุริมทิศพิไชย (สุด) นั้น เป็นบุตรของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ละมั่ง) และเป็นหลานของเจ้าพระยารัตนาพิพิธ