ประวัติการศึกษา ของ เฉลิม_ม่วงแพรศรี

การศึกษาวิชาสามัญ

  • พ.ศ. 2494 สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา จากโรงเรียนสมอราย จังหวัดนครราชสีมา
  • พ.ศ. 2500 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนมัธยมวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร
  • พ.ศ. 2500 เข้าศึกษาที่โรงเรียนบพิตรพิมุข แต่ลาออกมาศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2503
  • พ.ศ. 2507 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การศึกษาดนตรีไทย

นายเฉลิม ม่วงแพรศรี มีความสนใจดนตรีไทยมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ท่านเริ่มหัดดนตรีครั้งแรกด้วยการซื้อซออู้จีนมาหัดเอง โดยอาศัยโน้ตเพลงที่ซื้อมาจากร้านดุริยบรรณ หลังจากนั้นนายเฉลิมได้รู้จักกับนายประเสริฐ มณีธร นายประเสริฐจึงพาไปฝากเรียนซอด้วงกับนายจำลอง อิศรางกูร ณ อยุธยา โดยได้หัดตั้งแต่เพลงพื้นฐานจนถึงเพลงที่ยากขึ้นตามลำดับ เช่น เพลงแป๊ะสามชั้น เพลงสาลิกาชมเดือนเถา เพลงสารถีสามชั้น เพลงแขกไทรสองชั้น และเพลงขอมใหญ่สองชั้น เป็นต้น

ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 2 นายเฉลิม ม่วงแพรศรี มีโอกาสได้รู้จักกับหม่อมเจ้าหญิงศรีอัปสร วรวุฒิ (นักดนตรีในวงเตชะเสนีย์ และวงของนายโองการ กลีบชื่น) ท่านหญิงศรีอัปสรได้พานายเฉลิมมาพบและฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับนายโองการ กลีบชื่น ได้ให้ความเมตตาต่อเพลงให้มากมายทุกประเภท และนอกจากการต่อเพลงตามปกติแล้ว นายเฉลิมยังมีโอกาสร่วมบรรเลงกับวงดนตรีคณะกลีบชื่น และอาทรศิลป์อยู่เสมอ รวมทั้งได้บรรเลงซอด้วงออกอากาศทางสถานีวิทยุกับวงดนตรีดังกล่าวเป็นประจำ

ใน พ.ศ. 2503 ขณะที่เข้าศึกษาในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายเฉลิมได้รู้จักกับนางสาวดวงใจ เลขะกุล (บุตรสาวนางเจริญใจ สุนทรวาทิน) และนางมาลิทัศน์ พรหมทัศน์เวที ซึ่งเป็นเพื่อนกับบุตรชายพระยาภูมีเสวิน (จิตร จิตตเสวี) ทั้งสองจึงได้พามาพบและขอเรียนซอสามสายจากท่านและนับเป็นก้าวแรกของนายเฉลิม ม่วงแพรศรี ที่เริ่มฝึกหัดซอสามสายอย่างจริงจัง โดยเริ่มเรียนตั้งแต่พื้นฐานการใช้นิ้ว การใช้คันชัก ตามแบบราชสำนักที่พระยาภูมีเสวินได้รับการถ่ายทอดมาจากเจ้าเทพกัญญา บูรณพิมพ์ ทั้งนี้ การสืบสานวิธีการบรรเลงซอสามสายในสายของพระยาภูมีเสวินนั้น เป็นที่ยอมรับในวงการดนตรีไทยว่าถูกต้องตามแบบแผนและงดงามลงตัวตามแบบฉบับซอสามสายในราชสำนักโดยแท้ นายเฉลิมได้หัดซอสามสายกับพระยาภูมีเสวินตั้งแต่เพลงขับไม้บัณเฑาะว์ เพลงตับต้นเพลงฉิ่ง เพลงทะแย ไปจนถึงเพลงที่สูงขึ้นตามลำดับ เช่น เพลงสุรินทราหู และเพลงแขกมอญ เป็นต้น ระหว่างที่เรียนซอสามสายกับพระยาภูมีเสวินอยู่นี้ นายเฉลิมจะไปร่วมบรรเลงออกอากาศรายการวิทยุคลื่นสั้นของกรมประชาสัมพันธ์กับท่านอยู่เสมอ ทุก ๆ วันอังคารและวันพฤหัสบดี

ในช่วงประมาณ พ.ศ. 2508 นายเฉลิมสอบเข้ารับราชการได้ที่โรงเรียนนาฏศิลป กรมศิลปากร (ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฏศิลป) ในตำแหน่งอาจารย์วิชาภาษาไทย แต่ด้วยความรักในดนตรีไทยจึงทำให้ท่านได้รู้จักกับครูดนตรีอาวุโสอีกหลายคน ประกอบกับการที่มีโอกาสไปบรรเลงดนตรีไทยตามงานต่าง ๆ อยู่เสมอ จึงทำให้ท่านคุ้นเคยกับนักดนตรีที่มีฝีมืออีกเป็นจำนวนมาก เช่น หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยะชีวิน) นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล นางสนิทบรรเลงการ (ละเมียด จิตตะเสวี) และนายประเวช กุมุท เป็นต้น ทำให้นายเฉลิมได้มีโอกาสศึกษาความรู้จากท่านเหล่านั้นมากมาย ในลักษณะครูพักลักจำบ้าง จากการสอบถามเทคนิคและแนวทางการบรรเลงบ้าง ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกศิษย์โดยตรงแต่ก็ได้รับความเมตตาอยู่เป็นเนืองนิตย์ โดยเฉพาะหลวงไพเราะเสียงซอนั้น มักจะปรารภกับผู้อื่นเสมอว่าท่านสีซออย่างไรนายเฉลิมก็จะจำไปหมด สีซอได้ฉลาดเฉลียว

ด้วยเหตุที่นายเฉลิมมีประสบการณ์ด้านดนตรีไทย โดยเฉพาะได้เรียนรู้เทคนิคและแนวทางการบรรเลงซอชนิดต่าง ๆ ที่หลากหลาย ประกอบกับยอมรับและเห็นคุณค่าในความงามที่แตกต่างกันไปของครูแต่ละท่าน ทำให้นายเฉลิมได้พยายามนำแนวทางต่าง ๆ มาฝึกฝน หลอมรวม และปรับปรุงให้เป็นแนวทางของตนเองในการสร้างสรรค์ศิลปะการบรรเลงซอด้วง ซออู้ และซอสามสายได้อย่างกลมกลืนลงตัว โดยอยู่ในขนบของการบรรเลงดนตรีไทยที่เป็นแบบแผน และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวงการดนตรีไทยว่าแนวทางการบรรเลงซอด้วง ซออู้ และซอสามสายของท่านมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความวิจิตรไพเราะเป็นอย่างยิ่งอีกแนวทางหนึ่ง

ใกล้เคียง