เซลมัน_แวกส์มัน
เซลมัน_แวกส์มัน

เซลมัน_แวกส์มัน

เซลมัน อับราฮัม แวกส์มัน (อังกฤษ: Selman Abraham Waksman; 22 กรกฎาคม ค.ศ. 188816 สิงหาคม ค.ศ. 1973) เป็นนักชีวเคมีและนักจุลชีววิทยาชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดที่เขตเคียฟ จักรวรรดิรัสเซีย[1] (ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน) เป็นบุตรของยาคอบ แวกส์มันและเฟรเดีย ลอนดอน[2] แวกส์มันย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1910 และได้รับสัญชาติอเมริกันในอีก 6 ปีต่อมา เขาเรียนปริญญาตรีสาขาเกษตรศาสตร์และปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์ที่วิทยาลัยรัตเจอส์ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยรัตเจอส์) ระหว่างเรียนปริญญาโท แวกส์มันทำงานเป็นผู้ช่วยยาคอบ กูเดล ลิปมันที่สถานีทดลองการเกษตรนิวเจอร์ซีย์ ต่อมาเขาได้รับตำแหน่งนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ แวกส์มันเรียนจบปริญญาเอกสาขาชีวเคมีที่นั่นในปี ค.ศ. 1918ต่อมาแวกส์มันกลับไปทำงานที่ภาควิชาชีวเคมีและจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยรัตเจอส์ ที่นั่นทีมของเขาค้นพบยาปฏิชีวนะหลายชนิด เช่น สเตรปโตมัยซิน, นีโอมัยซิน, แด็กทิโนมัยซิน, แคนซิซิดิน โดยเฉพาะสเตรปโตมัยซินและนีโอมัยซินที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อหลายชนิด สเตรปโตมัยซินเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ใช้รักษาวัณโรค ในปี ค.ศ. 1942 แวกส์มันคิดคำว่า antibiotic เพื่อใช้อธิบายสารที่ได้จากเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถต้านการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นได้[3][4] ในปี ค.ศ. 1951 เขาจัดตั้งมูลนิธิด้านจุลชีววิทยาและจัดตั้งสถาบันจุลชีววิทยาแวกส์มัน ปีต่อมาแวกส์มันได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์สำหรับการค้นพบสเตรปโตมัยซิน[5] โดยได้รับการประท้วงจากอัลเบิร์ต ชวาตซ์ ผู้ร่วมค้นพบแต่ไม่ได้รับรางวัลด้วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการรางวัลโนเบลแจ้งว่าชวาตซ์ในตอนนั้นเป็นเพียงผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานโดดเด่น[6] ปัญหาการเป็นผู้ค้นพบสเตรปโตมัยซินระหว่างแวกส์มันและชวาตซ์นำไปสู่การฟ้องร้องในเวลาต่อมา[7] แวกส์มันยอมตกลงกับชวาตซ์ โดยให้ค่าชดเชยต่าง ๆ และสิทธิ์เป็นผู้ร่วมค้นพบสเตรปโตมัยซินแก่ชวาตซ์[8][9]ด้านชีวิตส่วนตัว แวกส์มันแต่งงานกับเดบอราห์ บี. มิตนิกในปี ค.ศ. 1916[10] มีบุตรด้วยกัน 1 คน แวกส์มันเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1973 ที่เมืองวูดส์โฮล ประเทศสหรัฐอเมริกา[11]

เซลมัน_แวกส์มัน

แหล่งที่มา

WikiPedia: เซลมัน_แวกส์มัน http://www.encyclopedia.com/people/medicine/medici... http://www.nndb.com/people/590/000129203/ http://select.nytimes.com/gst/abstract.html?res=F7... http://www.nytimes.com/2012/06/12/science/notebook... http://www.theguardian.com/education/2002/nov/02/r... http://www2.scc.rutgers.edu/njh/SciANDTech/Waksman... //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/20264541 //doi.org/10.2307%2F3755196 //www.jstor.org/stable/3755196 http://www.nobelprize.org/nobel_prizes/medicine/la...