ปรัชญาของรัสเซลล์ ของ เบอร์ทรันด์_รัสเซลล์

รัสเซลล์เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ เป็นนักปรัชญาที่สำคัญที่สุดของลัทธิสัจนิยมใหม่แบบธรรมชาติ เกิดและเติบโตในบรรยากาศที่หดหู่ เคร่งเครียด และว้าเหว่จนน่าเบื่อ จึงไม่ชอบและมีจิตใจเป็นปฏิปักษ์ อายุ 14 ปีเท่านั้นก็คัดค้านคำสอนของศาสนาอายุ 18 ปีเลิกนับถือศาสนา เข้ามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เรียนคณิตศาสตร์และปรัชญา ขณะนั้นลัทธิเฮเก็ลใหม่กำลังรุ่งโรจน์ รัสเซลติดใจและจะยึดเหนี่ยวแทนศาสนาได้ ต่อมาได้รู้จักกับมัวร์ จึงเป็นแนวความคิดมาทางสัจนิยมใหม่ของมัวร์ ครั้นไม่พอใจก็ปรับปรุงแก้ไขเรื่อยไปเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา มีความตระหนักว่าความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติเปิดโอกาสให้คนฉลาดเอาเปรียบคนโง่ และเป็นฉนวนให้เกิดสงคราม จึงตั้งหน้าล้มล้างศาสนาและความศรัทธาต่อสิ่งเหนือธรรมชาติทุกแบบจนสิ้นอายุขัย คัดค้านสงครามจนถูกจำคุก 2 ครั้ง ตอนปลายชีวิตได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ใฝ่หาสันติภาพตัวอย่าง ได้ตำแหน่งศาสตราจารย์ปรัชญา ได้เป็นราชบัญฑิต และได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมสาขาวรรณกรรมประจำปี พ.ศ. 2493 โดยคณะกรรมการแถลงเหตุผลว่า “ท่านเป็นคนหนึ่งในสมัยของเราที่เป็นปากเป็นเสียงดังที่สุดให้กับปัญหาธรรมและมนุษยธรรม ท่านไม่กลัวที่จะประท้วงเรียกร้องสิทธิในการพูดและคิดอย่างอิสระในซีกโลกตะวันตก”

รัสเซลล์ได้สมญาว่าเป็นว่า “Philosophical Everryman” ของสมัยใหม่ ซึ่งหมายความว่า ความคิดปรัชญาของรัสเซล เราจะพบปัญญาที่สำคัญของปัญหาของปรัชญาปัจจุบัน นับตั้งแต่ปัญหาในระดับสามัญชนขึ้นไปจนถึงปัญญาชน รัสเซลเป็นผู้รอบรู้ในทุกๆด้าน เรื่องราววิชาการปัจจุบันและรู้อย่างดีในทุกๆเรื่อง มิใช่เพียงรู้ งูๆ ปลาๆ สักแต่ว่าพอสำหรับเห็นปัญหาของปรัชญาเท่านั้น รัสเซลล์จึงมองเห็นปัญหาถูกจุดจริงๆ สำหรับมนุษย์ในปัจจุบัน การเข้าถึงปัญหาปรัชญาของรัสเซล จึงเท่ากับเข้าถึงปัญหาอันแท้จริงของมนุษย์ในสมัยปัจจุบันนั้นเอง คำตอบของรัสเซลสำหรับแต่ละปัญหามีหลายมุม สมกับสภาพทางปัญหาของผู้รอบรู้หลายด้าน ปรัชญาของรัสเซลจึงสังกัดอยู่ในหลายลัทธิ แล้วแต่จะพิจารณาคำตอบส่วนไหนของรัสเซล อย่างไรก็ตาม ตลอดอายุแห่งวิวัฒนาการทางความคิดจของปรัชญาของรัสเซลนั้น รัสเซลมีแนวยืนพื้นพอจะสรุปได้ด้วยคำว่าสัจนิยมแบบธรรมชาติ (natural realism)

แนวปรัชญาของรัสเซล ไม่คงตัว แต่ทว่าวิวัฒน์ไปเรื่อย ๆ ตามอายุขัย ซึ่งพอจะแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ คือ

ระยะอุดมการณ์นิยม

ระยะนี้อยู่ในช่วงเวลา พ.ศ. 2438 (ค.ศ. 1895) ถึง พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ขณะที่รัสเซลล์ยังเป็นศิษย์ของบรัดเลย์อยู่นั้น รัสเซลคิดว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายมีอยู่ย่อมมีความสัมพันธ์ภายในต่อกัน หมายถึงว่าเป็นสารถะของกันและกัน อย่างเช่นเรากล่าวว่า ก อยู่เหนือ ข และถ้าคำพูดของเราตรงกับความจริงก็หมายความว่า ก กับ ข จะต้องมีความสัมพันธ์กันจริงในทำนอง ก อยู่เหนือ ข และความสัมพันธ์นั้นจะต้องเป็นความสัมพันธ์ภายใน คือ ก จะไม่เป็น ก ถ้าหากไม่มี ข อยู่ใต้ และ ข จะไม่เป็น ข ถ้าหากไม่มี ก อยู่เหนือ จึงกล่าวได้ว่าการอยู่เหนือของ ข เป็นส่วนหนึ่งของสารถะของ ก และการอยู่ใต้ ก เป็นส่วนหนึ่งของสารัตถะของ ข ในทำนองเดียวกันถ้านายดำเป็นพ่อของเด็กชายขาว ก็หมายความว่า การเป็นพ่อของเด็กชายขาวเป็นสารัตถะส่วนหนึ่งของนายดำ และการเป็นลูกของนายดำก็เป็นสารัตถะส่วนหนึ่งของเด็กชายขาวเด็กชายขาวจะไม่เป็นเด็กชายขาวตามที่เป็นอยู่จริง ถ้าหากไม่คิดถึงการเป็นลูกของนายดำเข้าเป็นองค์ปรกอบด้วย หรือถ้าเด็กชายขาวไปเป็นลูกของนายแดง เด็กชายขาวก็จะเป็นเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งอาจจะชื่อขาวก็ได้แต่จะเป็นเด็กชายขาวคนละคนจากที่กล่าวถึง จึงสรุปได้ว่าความสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริง ความเป็นจริงทุกหน่วยมีความสัมพันธ์ภายในต่อกัน ดังนั้น ทุกสิ่งจึงรวมเอาทุกสิ่งไว้ในสารัตถะของตน เม็ดทราย ก จะเป็นเม็ดทราย ก ก็เพราะกำลังถูกคลื่นซัดบนชายหาดแห่งนี้ ในบ้านเมืองที่กำลังมีสภาพอย่างนี้ ในโลกที่มีมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายอาศัยอยู่อย่างนี้ ในเอกภพที่มีสภาวะอยู่อย่างนี้ มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่ไช่เม็ดทราย ก ความสำนึกของเราเหล่านี้ก็เป็นสิ่งมีอยู่จริง และเราสามารถสำนึกถึงสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายได้ความสำนึกของเรากับความสำนึกของผู้อื่นก็มีความสัมพันธ์ในต่อกันอย่างแน่นแฟ้นเช่นกัน ทุกสิ่งจึงอยู่ในความสำนึกของเราแล้วอย่างมีความสัมพันธ์กันแน่นแฟ้น จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะใช้เหตุผลสืบหาเรื่องราวความจริง เราสามารถคิดกฎคณิตศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ภายในของความสำนึกของเราอยู่แล้ว รวมความว่าสิ่งที่มีอยู่จริงแต่ละสิ่งรวมทุกสิ่งไว้ในตัว และมนัสแต่ละมนัสรวมเอาสิ่งที่อาจจะรู้ได้ทั้งหมดไว้ในตัว

ระยะสัจนิยมและปรมาณูทางตรรกะ

ระยะนี้อยู่ในช่วงเวลา พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ถึง พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ในราวปี พ.ศ. 2443 รัสเซลล์เริ่มผละออกจากลัทธิอุดมการณ์นิยมและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง ร่วมมือกับมัวร์ก่อตั้งและเผยแผ่ลัทธิสัจนิยมใหม่ นับเป็นระยะแรกของวิวัฒนาการทางความคิดปรัชญาของรัสเซล วิจารณ์ความคิดแบบอุดมการนิยมแต่เดิมว่า ความสัมพันธ์เป็นสิ่งภายนอกสารัตถะ เป็นคุณา ความสัมพันธ์ไม่ไช่ส่วนหนึ่งของสารัตถะ ข้อพิสูจน์ก็คือ เมื่อเรามีผัสสะต่อวัตถุใดวัตถุหนึ่ง นอกจากเราจะมีความสำนึกถึงวัตถุชิ้นนั้นแล้ว เรายังมีความสำนึกถึงความสัมพันธ์ของวัตถุชิ้นนั้นกับสิ่งอื่นต่างหากออกไปด้วย เราอาจจะพิจารณาความสัมพันธ์ต่างหากจากวัตถุ เช่น ในคณิตศาสตร์เราเรียนความสัมพันธ์บริสุทธิ์ระหว่างจำนวนเลขหรือระหว่างรูปทรงต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนวัตถุทีมีจำนวนหรือรูปทรงนั้นๆเลย ยิ่งกว่านั้น ประสบการณ์แห่งการเรียนรู้บอกเราว่าเราเรียนรู้วัตถุก่อน ต่อมารู้จำนวนเลข ต่อมาความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์จะค่อย ๆ ตามมาทีละน้อย ๆ จากข้อสังเกตดังกล่าว รัสเซลตั้งมูลบทขึ้นมาว่า

  1. ข้อเท็จจริงทั้งหลาย เป็นปรมาณูทางตรรกะ (Facts are logically atomic) (= ลัทธิปรมาณูนิยมทางตรรกะ)
  2. มีข้อเท็จจริงอยู่มากที่ยังไม่รู้ (There are non-mental facts) (=ลัทธิสัจนิยม)
  3. ประโยคแสดงความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงปรมาณู ความจริงเท็จของประโยคจึงขึ้นอยู่กับคำพูดที่ประกอบกันเป็นประโยค ( ลัทธิสัจนิยมใหม่ )
  4. คำที่มีความหมายต้องมีวัตถุตอบสนอง ประโยคทีมีความหมายคือประโยคที่บรรจุแต่คำที่มีความหมายเท่านั้น (= ทฤษฎีอุเทศในปรัชญาของภาษา) ต่อมาลดหย่อนให้บางคำไม่ต้องมีวัตถุตอบสนองก็ได้ แต่อย่างน้อยจะต้องแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประโยค จึงจะถือว่ามีความหมาย
  5. วิธีวิจัยปรัชญาที่เหมาะที่สุดคือการวิเคราะห์ทางตรรกะ นั้นคือวิเคราะห์ความรู้ออกเป็นหน่วยย่อยที่สุดแล้วสังเคราะห์เพื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยย่อยซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ไป (= ลัทธิปรัชญาวิเคราะห์)

จะเห็นได้ว่า ความคิดริเริ่มของรัสเซลในระยะนี้บุกเบิกแดนใหม่ ให้นักวิจัยทางปรัชญาสามารถวิจัยต่อกันมาหลายด้าน

ระยะสัจนิยมและสร้างสรรค์นิยมทางตรรกะ

ระยะนี้อยู่ในช่วงเวลา พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ถึง พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) ระยะนี้เริ่มตั้งแต่หนังสือ Principia Mathematica ทีเขียนร่วมกับไวท์เฮดวิจารณ์ปรมาณูนิยมทางตรรกะของตนเองว่า ปรมาณูทางตรรกะไม่สามารถให้ความแน่ใจได้ว่าเป็นจริง เพราะยิ่งคิดไปยิ่งมีปัญหามากขึ้นทุกที ดังนั้นแทนที่จะใช้มโนภาพเป็นมูลบทของความจริง ก็ให้ใช้ประโยคเบื้องต้นที่ง่ายที่สุดเป็นมูลบท แล้วไล่เรียงไปหาความจริงของประโยคที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยไป จึงเรียกแนวความคิดเช่นนี้ว่าลัทธิสร้างสรรค์นิยมทางตรรกะ (Logical constructionnal) ซึ่งก็ยังเป็นอีกแบบหนึ่งของสัจนิยม

ระยะสัจนิยมและสร้างสรรค์นิยมของมนัส

ระยะนี้อยู่ในช่วงเวลา พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920) ถึง พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) ตั้งแต่ พ.ศ. 2463 เป็นต้นมา รัสเซลพบว่าสิ่งที่เราแน่ใจในประโยคก็คือข้อมูลไม่ไช่ข้อเท็จจริง ข้อมูลประกอบด้วยข้อเท็จจริงและการทำงานของมนัสร่วมกัน เพื่อจะได้ข้อเท็จจริงเราจำเป็นต้องเปรียบเทียบข้อมูลจากหลาย ๆ ทางเพื่อหาทางคัดส่วนที่เป็นการทำงานของมนัสของเราเองออกไป เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด ลัทธิเช่นนี้ได้ชื่อว่าลัทธิสร้างสรรค์นิยมของมนัส (constructionism of mind) ซึ่งก็ยังเป็นแบบหนึ่งของลัทธิสัจนิยมอยู่นั้นเอง

ควรสังเกตว่า ในทางอภิปรัชญา เมื่อรัสเซลเปลี่ยนแนวความคิดจากลัทธิอุดมการนิยมแล้วก็ยึดมั่นอยู่ในลัทธิสัจนิยมมาโดยตลอด ระหว่างที่ยึดมั่นอยู่ในลัทธิสัจนิยมทางอภิปรัชญานี้เองได้เปลี่ยนแนวความคิดทางญาณปรัชญาเป็น 3 ลัทธิด้วยกัน คือ ปรมาณูนิยมทางตรรกะ สร้างสรรค์นิยมทางตรรกะ และสร้างสรรค์นิยมของมนัส ส่วนวิธีการวิจัยทางปรัชญานั้น รัสเซลยึดมั่นในวิธีการปรัชญาวิเคราะห์มาโดยตลอดตั้งแต่ระยะอุดมการนิยมแล้ว

โรนัลด์ เจเกอร์ (Ronald Jager) แบ่งอีกแบบคือ แบ่งออกเป็น 4 ระยะ อย่างเด็ดขาด ดังนี้

  1. ระยะอุดมการนิยม (idealist phase) ตั้งแต่ต้นถึง พ.ศ. 2443
  2. ระยะสัจนิยม (realist phase) พ.ศ. 2443 - 2455
  3. ระยะปรมาณูนิยม (atomist phae) พ.ศ. 2455 - 2463
  4. ระยะเอกนิยมแบบเป็นกลาง (neutral monist phase) พ.ศ. 2463 - 2513

อย่างไรก็ตามเจเกอร์อ้างว่าแบ่งเพื่อสะดวกเพื่อสาธยายเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะยืนยันเป็นทฤษฎีให้วิพากษ์วิจารณ์

รัสเซลล์ลังเลใจมากเกี่ยวกับอภิปรัชญา บางครั้งก็อ้างว่าเท่าที่ค้นคว้านั้นเป็นเพียงเรื่องของญาณปรัชญา ไม่เกี่ยวกับโครงสร้างอันแท้จริงของมนัสหรือธรรมชาติของสิ่งของ แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อพูดถึงมนัสว่าเป็นที่รวมของผัสสะและมโนภาพ และแถลงว่าความเป็นจริงทั้งหลายก็ขึ้นจากประสบการณ์บ้างต้น แล้วค่อยๆลำดับเรื่องขึ้นมาจนถึงประบการณ์ซับซ้อนเช่นนั้น ย่อมจะหลีกอภิปรัชญาไปไม่พ้น

ในระยะปรมาณูนิยมทางตรรกะ ท่านมีความเชื่อมั่นว่า ภาษาในอุดมการณ์ (ideal language) จะต้องตรงกับความเป็นจริง ภาษาในอุดมการณ์นี้ได้มาโดยอาศัยหลักความคุ้นเคย (principle of acquaintance) อันเนื่องมาจากประสบการณ์ ตั้งสูตรขึ้นว่า “ ข้อความทุกข้อความที่เราเข้าใจต้องประกอบขึ้นด้วยส่วนประกอบที่เราคุ้นเคยเท่านั้น” นั้นคือรัสเซลเชื่อว่าความคุ้นเคย (acquaintance) เป็นสิ่งค้ำประกันความแน่นอนของความรู้ของเรา และในทำนองนี้สิ่งที่เรามั่นใจได้ก่อนอื่นทั้งหมดมิใช่ข้อความ หรือความสัมพันธ์ (Logical construction) แต่เป็นข้อมูล (data) ซึ่งจะประกอบขึ้นเป็นข้อความปรมาณู (Logical statement) แต่ข้อมูลเป็นเรื่องของอภิปรัชญาส่วนในเรื่องญาณปรัชญาความรู้ของเราต้องเริ่มจากข้อความปรมาณู เช่น "This is white. This is above that." ซึ่งเราจะวิเคราะห์ให้เป็นความเข้าใจที่ง่ายกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว เพราะประกอบด้วยข้อมูลน้อยที่สุดและที่เราคุ้นเคยจริง ๆ ข้อความปรมาณูหลายข้อความรวมกันเป็นข้อความเชิงซ้อนหรือข้อความอณู (compound or molecular statement)

อย่างไรก็ดี ต่อมารัสเซลเองเกิดสงสัยขึ้นมาว่า เราจะเอาอะไรมาตัดสินได้ว่าอะไรเป็นปรมาณูทางตรรกะ เราคุ้นเคยและคิดว่ามันง่ายที่สุดแล้วแต่ความจริงมันอาจจะถูกวิเคราะห์ต่อไปอีกก็ได้ที่สุดรัสเซลก็ละความพยายามที่จะคิดอภิปรัชญา เพราะเห็นว่าประสาทของเราไม่ได้รับรู้ผัสสะทุกอย่างอาจจะมีคุณภาพอีกหลายอย่างที่เราไม่มีประสาทรับ เราจะเข้าถึงความเป็นจริงได้อย่างไรเล่า รัสเซลจึงสนใจแต่จะค้นคว้าเรื่องราวความรู้ที่เรามีสมรรถภาพอยู่เท่านั้น พยายามให้ได้ใกล้ความเป็นจริงที่สุดก็พอแล้ว