รัสเซลล์กับการนับถือศาสนา ของ เบอร์ทรันด์_รัสเซลล์

คนจำนวนมากมองรัสเซลว่าเป็นคนไร้ศาสนา เป็นนักต่อต้านศาสนา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคำพูดแบบเถรตรงของเขานั่นเอง ที่ไปกระทบกระทั่งคนเหล่านั้นเข้า เป็นต้นว่า “ถ้าตลอดชีวิตของท่าน ท่านงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักขโมย การผิดประเวณี การกล่าวคำเท็จ คำผรุสวาส หรือท่านมีความเคารพนับถือบิดา มารดา ศาสนา พระมหากษัตริย์ของท่าน ก็เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ท่านเป็นคนดีสมควรได้รับการยกย่องนับถือ มีศีลธรรม ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยได้ทำความดีหรือทำอะไรให้เป็นประโยชน์เลยแม้ครั้งเดียว การมองคุณงามความดีในลักษณะเช่นนี้ ยังหาเพียงพอไม่”

ตัวรัสเซลล์เองนั้น มิได้นับถือศาสนาหรือพระเจ้า แต่เขาก็มิได้ทำการต่อต้านศาสนาและพระเจ้า หากแต่เขามีความสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ และเขายังยอมรับคำสอนของพระเยซูที่สอนให้มนุษย์รักกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตังเขาเองก็มุ่งมั่นที่จะชี้นำทางแห่งความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขากล่าวว่า คนที่ไม่เสียสติย่อมเห็นพ้องต้องกันว่า การมีชีวิตอยู่ย่อมดีกว่าการตาย มีอาหารกินดีกว่าอดอยาก และมีอิสรภาพดีกว่าตกเป็นทาสและถูกจองจำ หลายคนต้องการความสุขเพื่อตนเองและพวกพ้อง ทั้งยังมีความรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้เห็นความทุกข์ของผู้อื่น และพยายามจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเมื่อมีโอกาส แต่ในปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มีมากขึ้น และได้ยืนยันแล้วว่า พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ถูกต้องเพราะมนุษยชาติจำต้องอาศัยซึ่งกันและกันมากขึ้น การที่จะแสวงหาความสุขถ่ายเดียวโดยมิได้สร้างความสุขให้แก่ผู้อื่นนั้น ผู้นั้นไม่อาจมั่นใจในความสุขของตนได้เลย ดังนั้นถ้าทุกคนปรารถนาความสุข ก็จงหาทางทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย

แม้ว่ารัสเซลล์มิได้นับถือศาสนาตามนิตินัย แต่โดยพฤตินัยแล้ว เขาเป็นคริสเตียนมากกว่าชาวคริสต์อีกหลายคน โดยเฉพาะในเรื่องคำสอนที่ให้มนุษย์มีความรักความปรารถนาดีต่อกัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของพระเยซูในเรื่องบาป ซึ่งเขาเห็นว่าคำๆ นี้ถูกนำมาใช้กันจนเฟ้อ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นบาป อะไรเป็นบุญไปเสียแล้ว และก็ยังไม่มีใครให้อรรถาธิบายได้ถูกต้องว่าบาปคืออะไร หากแต่ช่วยกันทำให้เกิดความรู้สึกในลักษณะของความกลัว ความสงสัยและความเกลียดเท่านั้น เขากล่าวย้ำอยู่เสมอว่า ตัวเขาเองสงสัยในพระเจ้าว่ามีอยู่จริงหรือไม่และไม่เชื่อว่าพวกคริสเตียนจะเข้าใจดีว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว เขาเห็นว่าคำสอนของพระเยซูที่ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับปัญหาทางเทววิทยาบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ควรจะได้รับการทรมานจนตายนั้น เป็นเรื่องเหลวไหล และการที่เขามีความสงสัยในพระเจ้านั้นมิได้ถือว่าเป็นบาปตามคำอ้างของพวกคริสเตียน เขาถือว่าการประณามเช่นนั้นเป็นเรื่องของคนงมงายเสียมากกว่า

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้รัสเซลล์ไม่นับถือศาสนา คือเรื่องของคำสอนต่างๆ ทางศาสนา ซึ่งเขาเห็นว่ามันไม่เหมาะกับยุคสมัยของสังคมปัจจุบัน เขากล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนความเชื่อทันที หากได้พบว่าความรู้ใหม่เชื่อถือได้มากกว่าความรู้เดิม แต่ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยที่ไม่ยอมเปลี่ยนความคิด ยังคงยึดมั่นอยู่ในหลักปรัชญาของตน เช่นเดียวกันในเรื่องของศาสนา ยังมีคนส่วนใหญ่ที่หลงยึดมั่นในศาสนา นักศาสนศาสตร์มักจะยกคำสอนในคัมภีร์ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว มากล่าวอ้างว่าเป็นอมตสัตย์ แต่ก็ไม่เคยมีใครคิดจะเปลี่ยนแปลงหรือทำการสังคายนาศาสนาก็สักที การที่จะหลงเชื่ออะไรนั้น ควรพิจารณาให้ท่องแท้เสียก่อน เขากล่าวว่า ถ้าความเชื่อนั้นตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผลที่ดี ก็จงสนับสนุนความเชื่อนั้นโดยพยายามหาข้อโต้แย้ง แทนที่จะหลงเชื่ออย่างงมงาย และหากข้อโต้แย้งนั้นมีน้ำหนักมากพอ ก็จงเลิกเชื่อในสิ่งเดิมนั้นเสีย แต่หากเชื่อเพราะแรงศรัทธา ข้อโต้แย้งก็จะหาประโยชน์มิได้ ความเชื่อเช่นนี้มักจะนำไปสู่ความงมงายและยังเป็นการปิดกั้นความรู้สึกนึกคิดของคนหนุ่มสาวอีกด้วย

รัสเซลล์กล่าวว่า

พระพุทธศาสนาเป็นการรวมกันของปรัชญาแบบเก็งความจริงกับวิทยาศาสตร์ ศาสนานั้นสนับสนุน วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และติดตามวิธีการนั้นจนถึงที่สุด ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ในพระพุทธศาสนาเราจะได้พบคำตอบที่น่าสนใจ เช่น จิตใจกับวัตถุคืออะไร? ระหว่างจิตกับวัตถุนั้นอย่างไหนสำคัญมากกว่ากัน? เอกภพเคลื่อนไปหาจุดหมายปลายทางหรือไม่? พระพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังนำทางไปได้ไม่ถึง เพราะความจำกัดแห่งเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ ชัยชนะของ พระพุทธศาสนาเป็นชัยชนะทางจิตใจ— เบอร์ทรานด์ รัสเซิลล์